วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Review: Olly Murs - In Case You Didn't Know


Olly Murs – In Case You Didn’t Know (B+)

                Olly Murs รองชนะเลิศอันดับ 1 จากเวที The X Factor UK Season 6 (ปีนั้น Joe McElderry ได้ที่ 1) ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว Olly จะดูมีภาษีมากกว่าตา Joe หลายเท่านัก ว่ากันว่า Olly ได้เซ็นสัญญาทันทีหลังจากที่ประกวดเสร็จแม้ว่าจะได้ที่ 2 ก็ตาม และเขาก็ไม่ทำให้ค่ายผิดหวัง Singleเปิดตัว “Please Don’t Let Me Go” เปิดตัวที่อันดับ 1 บน UK Singles Chart ทันที (ชนะ Teenage Dream ของ Katy Perry เลยนะเออ) หลังจากที่ประสบความสำเร็จไปกับอัลบั้มแรก Olly Murs ก็พร้อมที่จะพาพวกเราไปสัมผัสกับความสนุกสนาน ความร่าเริงสดใสผ่านบทเพลงของเขากันอีกครั้งกับอัลบั้มอันดับที่สอง “In Case You Didn’t Know”

จุดเด่น
                ภาพลักษณ์ คือภาพลักษณ์ของ Olly Murs เป็นอะไรที่เข้าถึงได้ ไม่ว่าจะผ่านทางเสียงเพลง (Olly เป็น co-writer เกือบทุกเพลงในอัลบั้ม) ใน MV หรือภาพที่เราเห็นตาม Live ต่างๆ ทำให้คนทั่วไปมีความรู้สึกว่า Olly Murs เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เข้าถึงและแตะต้องได้ อีกทั้งเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเพลงของ Olly มันช่างติดหูมากๆ แถมเนื้อเพลงก็น่ารักซะ แล้วยิ่งบวกกับ MV ท่าทาง การแต่งตัว รวมถึงความขี้เล่นของตัวนักร้องเอง โอยยย พอรู้ตัวอีกทีเพลงก็มาวนเวียนอยู่ในหัวแล้ว (ฮ่า)

จุดด้อย
                ภาพรวมของอัลบั้มที่ดูจะไม่ค่อยมีพัฒนาการ ความแตกต่างอะไรจากอัลบั้มแรกมากนัก ทำให้อัลบั้มนี้ดูเหมือนเป็น Olly Murs Part 2 อีกทั้งเนื้อหาของเพลงที่... โอเค ถึงแม้ว่ามันจะน่ารัก เข้าถึงง่าย แต่แบบถ้าเอาเพลงเนื้อหาประมาณนี้มาให้เด็กๆร้องมันน่าจะเข้ากว่านะ แต่เอาจริงๆที่พิมพ์ๆมามันก็ไม่เชิงจะเป็นจุดด้อยซะทีเดียว เอาเป็นว่าเป็นการบ้านไว้สำหรับปรับปรุงอัลบั้มต่อไปละกันเนอะ

Track by track
                เปิดอัลบั้มด้วย Heart Skips A Beat (Ft. Rizzle Kick) และเป็นซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มนี้ด้วย ตัวเพลงเป็นการยืนพื้นจอง Pop แล้วใส่ความเป็น Reggae และ Ska เข้ามาเหมือนที่เราได้เห็นกันไปในอัลบั้มแรก และดูเหมือนจะเป็นแนวถนัดของตา Olly เขาล่ะ!!! ผลลัพธ์ก็คือเพลงนี้กลายเป็นเพลงสนุกๆที่เหมาะกับการเปิดในช่วงซัมเมอร์ เพราะถ้าเพลงไม่เวิร์คคงไม่ debut อันดับ 1 บน UK Singles Chart จริงมั้ย ฮ่า (HSAB เป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่ Olly ไม่ได้มีส่วนรวมในการแต่ง) ต่อกันด้วย Oh My Goodness ตัวเพลงพูดถึงความลังเลว่าจะเดินหน้าต่อหรือชะลอความเร็วลง ซึ่งใครๆก็คงมีความรู้สึกแบบนี้เมื่อเจอคนที่ถูกใจใช่มั้ยครับ เพลงนี้ถือว่าเป็นเพลงที่ฟังแล้วได้ขยับ+ร้องตามกันพอหอมปากหอมคอ เอ๊ะหรือจะใช้ร้องให้ใครฟังดีนะ ต่อกันที่ซิงเกิ้ลที่ 2 Dance With Me Tonight จริงๆอยากให้เพลงนี้อยู่เป็นแทร็คแรกของอัลบั้มนะ ไอ่ตอนขึ้นต้นมันเหมาะกับการเปิดตัวมากๆ ทำให้ได้ฟีลเหมือนเข้าไปอยู่ในโรงละครแล้ว Olly ขึ้นมาร้องเพลงให้ฟัง (อารมณ์ประมาณ Live ที่ The X Factoe UK นั่นแหละ) ส่วนตัวแล้วผมชอบเสียงทรัมเป็ตในเพลงนี้นะ มันยิ่งทำให้เพลงดูสนุก และทะเล้นมากๆ I’ve Tried Everything เริ่มต้นมาเหมือนจะเป็นบัลลาด แต่ทำไปทำมากลายเป็นเพลงสนุกๆอีกหนึ่งเพลง (แหม่ จะสดใสกันไปถึงไหน) ตัวเพลงยังคงเป็น Pop-Reggae ซึ่งคงต้องบอกว่าดนตรีแบบนี้มันเข้ากับเสียงของ Olly มากๆ แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่าเพลงนี้มันสู้ 3 เพลงแรกไม่ได้อ่ะ บัลลาดเพลงแรกในอัลบั้ม This Song Is About You เพลงนี้พาเราไปรู้จักกับด้านมืดของ Olly ใครจะคิดว่าผู้ชายขี้เล่นพออยู่ในโหมดแค้น เจ็บปวดจะอารมณ์ร้ายได้ถึงขนาดนี้ ก็ถึงขนาดเขียนเพลงด่าเลยอ่ะ... น่ากลัวเกิ๊น แถมเนื้อเพลงยังเชือดเฉือนซะ เศร้ากันต่อกับtitle track ของอัลบั้ม In Case You Didn’t Know (ต้องบอกอีกมั้ยว่า)ตัวเพลงเป็น Pop-Reggae-Ska ถึงแม้จะเป็นเพลงชวนโยก แต่เนื้อหาของเพลงกลับเป็นการตัดพ้อคนรัก ทำไมจะต้องจากกันไป... แต่ด้วยความที่ตัวเพลงมันน่ารักซะขนาดนี้... บอกตรงๆว่าไม่อินกับเพลงอ่ะ (ฮ่าๆ) ต่อกันที่ Tell The World เพลงน่ารักๆที่พูดถึงความรักของคนสองคนที่ต่อให้จะเลวร้ายขนาดไหนขอแค่เพียงฉันมีเธออยู่ข้างๆฉันก็โอเคแล้ว จนฉันอยากประกาศความรู้สึกที่มีต่อเธอให้โลกได้รับรู้ ง่ายๆสั้นๆเลยนะ... เอาจริงๆเพลงมันน่ารักมาก!!! กลับมาที่เพลงเนื้อหาเครียดๆกับ I’m OK คือเอาจริงๆส่วนตัวไม่อยากเห็นเพลงเครียดๆจากตานี่เลย เพราะว่าถ้าไม่ใช่บัลลาดแบบ TSIFY อ่ะ มันไม่เศร้าเลยนะ เพลงนี้ก็เหมือนกัน ซึ่งถ้ามองว่าอยากให้เพลงนี้เป็นเพลง Feel good แบบเออ ถ้ามันถึงเวลาฉันก็ต้องกลับไปมีชีวิตของฉัน เป็นตัวเองอีกครั้ง เพลงนี้มันก็โอเคล่ะ Just Smile บทเพลงสำหรับเอาไว้ง้อคนรัก ตัวเพลงมันเหมาะใช้ประกอบหนังมากๆ อารมณ์แบบพระ-นางทะเลาะกันแล้วเพลงขึ้น จากนั้นก็คืนดีกันอ่ะ (ฮ่าๆ) ก็ในเมื่อ... ความรักของเรามันยังไม่จบ แค่เธอยิ้มให้ฉัน เราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว On My Cloud เพราะเพลงนี้นี่แหละเลยไม่ตัดเกรด A ไม่รู้อ่ะ ไม่ชอบ เสียง Olly ในเพลงนี้แปลกๆ อะไรก็ไม่รู้ เพลงแรกและเพลงเดียวในอัลบั้มที่กด Skip ดีนะที่เพลงแค่ 2 นาทีครึ่ง ถ้ามากกว่านี้คงแย่กว่านี้อ่ะ I Don’t Love You Too I know you, you know me ต่างคนต่างก็รู้จักกันและกันอย่างดี ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้อะไร แล้วจะทะเลาะกันทำไม... จริงมั้ย??? Anywhere Else เพลงน่ารักๆมาอีกแล้ว (นี่สรุปมันจะน่ารักทั้งอัลบั้มเลยมั้ย) ฟังแล้วมีความรู้สึกเหมือนนอนดูดาวอยู่กับคนรัก ก็ในเมื่อมีเธออยู่ตรงหน้าฉันแล้ว ฉันก็ไม่ต้องการไปที่ไหนอีกแล้ว (น่ารักเนอะ) ปิดอัลบั้มด้วย I Need You Now บัลลาดสวยๆที่เปิดโอกาสให้ Olly โชว์เสียงตัวเองอย่างเต็มที่ ส่วนตัวแล้วผมชอบบัลลาดแบบนี้นะ ตัวเพลงพูดถึงถ้าจะบอกว่าความเพ้อของ Olly ก็คงไม่ผิดอะไร คือไปตกหลุมรักเขาแต่ก็ไม่ได้สานต่อ เลยต้องมานั่งคิดไปเองว่าถ้าเราได้อยู่ด้วยกันจะเป็นอย่างไร...

สรุป
                ส่วนตัวแล้ว In Case You Didn't Know เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ชอบมากในปี 2011คืออีกหนึ่งอัลบั้มที่สามารถฟังได้เรื่อยๆ หรือหยิบมาฟังเวลาเครียดๆแล้วร้องตามก็โอเคนะ ด้วยเนื้อหา และแนวเพลงที่ไม่เครียดออกจะไปในแนวสนุกสนานซะด้วยซ้ำ และสำหรับอัลบั้มนี้เหมือน Olly Murs จะหาแนวทางของตัวเองเจอแล้ว ทั้งอัลบั้มสามารถฟังได้อย่างลื่นไหล ถึงแม้จะมีบางแทร็คที่ยังดูขาดๆเกินๆอยู่ แต่เชื่อว่าอัลบั้มต่อๆไปน่าจะมีพัฒนาการได้มากกว่านี้ 




BoyRobot


วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

Review: Jennifer Lopez - LOVE?



Jennifer Lopez – LOVE? (B)

           ถ้าจะพูดถึงแวดวง Hollywood ก็คงมีไม่กี่คนนักที่ทำได้ดีทั้งด้านการแสดง และการร้องเพลง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คงเป็น Jennifer Lopez คนทั้งโลกได้รู้จักกับเธอครั้งแรกในฐานะนักร้องต้องย้อนกลับไปในปี 1999 กับซิงเกิลเปิดตัว If You Had My Love กว่าสิบปีที่ J.Lo ได้เดินทางมาบนเส้นทางสายดนตรีที่มีขวากหนามมากมาย ตั้งแต่ Studio Album ชุดแรก “On The 6” จนกระทั่งล่าสุดกับ Studio Album ลำดับที่ 7 ภายใต้สังกัดใหม่ Island Def Jam และวันนี้ J.Lo ก็กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มที่อาจพูดได้ว่าทำให้เราได้ใกล้ชิดกับตัวตนของเธอมากที่สุด... LOVE?

           จุดเด่น เนื้อหาอัลบั้มที่มีความรักเป็นธีมใหญ่ ทำให้เนื้อหาแต่ละเพลงเข้าถึงง่ายมาก และด้วยความที่เนื้อหาเข้าถึงง่ายทำให้หยิบมาฟังได้ไม่รู้จักเบื่อ (เชื่อเถอะวันนี้คุณเหงาคุณฟังเพลงนี้ แต่พอมีความรักคุณก็ไปฟังเพลงต่อไปได้ เห็นมั้ยฟังได้ไม่ว่าอารมณ์แบบไหน) นอกจากนี้ด้วยการที่ J.Lo เลือกที่จะเอา Pop, R’n’B มายืนพื้น และเหยาะกลิ่น Latin ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำได้ดีเสมอมาเข้าไปร่วมด้วย ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธว่า J.Lo เป็นมือวางอันดับต้นๆจริงๆที่ทำเพลงแนวนี้ได้ถึงมากๆ

           จุดด้อย มีใครจำได้มั้ยว่าอัลบั้มก่อนหน้า LOVE? คืออะไร... อย่าตอบว่า This Is Me… Then นะครับ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากที่ล้มคว่ำไปกับ Rebirth และ Brave หลายๆคนคงลืมเธอไปแล้ว จะเหลือซักกี่คนที่ยังจำคุณนาย J.Lo เดินนวยนาดตากหิมะใน MV All I Have หรือ ความรักบันลือโลก Bennifer แน่นอนคนเขาลืมกันไปหมดแล้ว แล้วพอกลับมาคราวนี้ J.Lo มีอะไรมาขาย... Judge ใน American Idols? หรือจะเป็นภาพลักษณ์คุณแม่ลูกแฝด? ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงอยากได้ J.Lo ที่มีมาดคุณนาย (เอาง่ายๆเหมือนแบบชุดทองใน MV On The Floor นั่นแหละ) กลับมาอีกครั้ง เพราะถึงแม้ผู้คนจะหมั่นไส้กับลุคนั้น แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่ามันคือลุคที่เหมาะกับ J.Lo จริงๆ

Track by track
             On The Floor (Ft. Pitbull) จากที่ลองปล่อย Louboutins แล้วผลตอบรับไม่เวิร์กแถมยังส่งผลให้ J.Lo ต้องออกจาก Sony และย้ายค่ายมาที่ Def Jam ขนเพลงมาทำกับค่ายใหม่และหวยก็มาออกที่เพลงนี้ ซิงเกิลเปิดตัวที่สามารถขึ้นไปได้ถึง #3 Billboard Hot 100 หลังจากที่เธอไม่ได้มีเพลงฮิตมาเกือบ 10 ปี... All I Have(#1-2003) ตัวเพลงยืมแซมเปิ้ลเพลง Lambada ทำให้ตัวเพลงติดหูมากกกก On The Floor ก็คงเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ผมได้บอกไปในตอนต้นแล้วว่า เพลงกลิ่นอายละตินกับ J.Lo เป็นของคู่กันจริงๆ ต่อกันกับ Good Hit ส่วนตัวไม่ชอบเพลงนี้เอาซะเลย และรู้สึกดีที่ J.Lo เลือกที่จะไม่ตัดเพลงนี้ (แม้ว่าส่วนตัวตัวจะเสียดายเอ็มวีที่ถ่ายไว้แล้วก็ตาม) ไม่เข้าใจว่าทำไมJ.Loต้องร้องแบบนี้ด้วย เสียงJ.Loในเพลงนี้ดูบีบๆจนไม่ใช่J.Loไปเลย หรืออยากจะเปลี่ยนแนวไปร้องเพลงแบบ Britney หึหึ ต่อกันด้วยซิงเกิลที่สอง I’m Into You (Ft. Lil’ Wayne) ยังคงเป็น Pop RnB ที่มีกลิ่นความเป็นละติน เนื้อเพลงเป็นการพรรณนาถึงคนรัก เสียงJ.Loเหมาะกับการร้องเพลงแนวนี้จริงๆ ฟังแล้วรู้สึกล่องลอย ชวนให้ขยับขาเล็กๆ เหมือนกำลังนั่งมองตากับคนรักพร้อมจิบไวน์ไปพร้อมๆกัน เอ๊ะ หรือจะเต้นรำกลางแสงจันทร์ดี (What Is) LOVE? Title track ของอัลบั้ม ตัวเพลงเคยใช้เป็นเพลงประกอบหนัง The Back Up Plan ก่อนที่จะเอามาทำใหม่(ตรงไหน?) ตัวเพลงเป็น Pop ธรรมดาที่ธรรมดาจริงๆ แต่ความธรรมดานี้เองที่ฟังไม่กี่รอบก็เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวแล้ว ส่วนเนื้อเพลงนี่... ผมเชื่อว่าคนโสดที่ยังรอคอยคนที่ใช่สามารถอินกับเพลงนี้ได้อย่างแน่นอนครับ ซึ่งแน่นอนว่าเพลงนี้ก็สามารถทำหน้าที่ของ Title Track ได้เป็นอย่างดี หลังจากที่รอคอยคนที่ใช่กับเพลงที่แล้วมาแล้ว เพลงต่อไป Run The World กล่าวถึงความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างคนสองคน อีกหนึ่งเพลงน่ารักๆที่เข้ากับภาพรวมของอัลบั้มได้เป็นอย่างดี กลับมาขยับแข้งขากันต่อกับ Papi เจอLatin pop อีกแล้ว เพลงนี้ใครได้ยินแล้วไม่ขยับตัวให้มาตบหัวผมได้เลย เพลงเหมือนเป็นภาคต่อของ On The Floor สามารถเปิดในปาร์ตี้ได้โดยไม่ต้องมิกซ์อะไรทั้งนั้น ด้วยตัวเพลงที่มันชวนแดนซ์อยู่แล้ว... เพลงเค้าก็บอกอยู่ว่าให้ Move your body... Dance for your papi แล้วเราจะรออะไรกันอยู่ล่ะครับ พักหายใจกันกับ Until It Beats No More เริ่มเพลงด้วยเสียงเตือนหัวใจหยุดเต้น ตามด้วยเสียงหัวใจที่เต้นอีกครั้ง... บัลลาดเนื้อหาซึ้งๆพูดถึงคนที่เคยมีแผลจากความรัก จนวันนึงได้มาพบกับคนที่ใช่ และได้ยอมเปิดรับคนคนนั้นเข้ามาในชีวิต... ยกหัวใจให้ไปจนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย ต่อกันด้วยเพลงที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพลงที่พาเราไปรู้จักกับชีวิตรักของJ.Loจริงๆกับ One Love บทเพลงที่พูดถึงความรักที่ไม่สมหวังของเธอ (ถึงตอนนี้ก็เป็นสี่ครั้งแล้ว) แต่เธอก็ยังคงเฝ้ารอคนที่เป็น One Love ของเธอจริงๆ ส่วนตัวแล้วชอบเพลงนี้กับเพลงก่อนหน้ามาก เศร้ากันมามากพอละ ไปแดนซ์กับ Invading My Mind เพลงที่ได้ Lady Gaga มาร่วมโปรดิวซ์ ตัวเพลงมีกลิ่นของ Lady Gaga ในอัลบั้มแรกๆ แต่พอเสียงJ.Lo มาเท่านั้นแหละ มันคือเพลงของเธอจริงๆ แต่ก็นะ เพลงแบบนี้ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือน่าจดจำ ได้แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ต่อกันกับ Villian เสียงกระซิบกระซาบทำให้แอบคิดถึง Kylie ขึ้นมาตงิดๆ ส่วนตัวคิดว่าเพลงมันเนือยๆเอื่อยๆเกินจนเพลงมันดูมีแค่ระนาบเดียวไปหมด ไม่มีอะไรที่เด่นพอให้จดจำเลย Starting Over เพลงจังหวะชิลล์ๆ ชวนโยกตัวนิดๆ แต่เนื้อหาเพลงกลับไม่ชิลล์ตามจังหวะ ตัวเพลงว่าด้วยความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ถึงแม้ว่าอีกคนหนึ่งจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ทุกวันนี้ฉันก็ยังคงรักเธออยู่ และก็ไม่อยากให้เราต้องเลิกรา Hypnotico เพลงปิดอัลบั้มของ Standard Edition มาอีกแล้วเพลงแดนซ์ ส่วนตัวคิดว่าเพลงแดนซ์กับ J.Lo เป้นอะไรที่แบกกันไม่ออกจริงๆ ไม่ว่าเพลงจะธรรมดา ไม่มีลูกเล่นอะไร แต่พอมาอยู่ในมือ J.Lo เพลงธรรมดาๆเพลงนั้นก็กลายเป็นเพลงที่มีอะไรๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ (ลองให้คนอื่นร้องเพลงนี้สิ ได้เท่า J.Lo ป่ะล่ะ) Everybody’s Girl เพลงแรกสำหรับ Deluxe Edition introเพลงทำให้รู้สึกเหมือนเป็นดาราที่กำลังอยู่ท่ามกลางแสงแฟลช นักข่าว ซึ่งก็เหมาะกับเนื้อหาของเพลงดี ที่พูดถึงคนคนนึงที่ต้องอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกๆคนตลอดเวลา แล้วคุณจะยังรักเธออยู่มั้ย Charge Me Up ไม่ชอบชื่อเพลงนี้เลยให้ตายเหอะ เลยพาลไม่ชอบเพลงไปด้วย เพลงแดนซ์ที่เหมือนทำมาไม่สุด เหมือนยังกั๊กๆอะไรไว้อยู่ หรืออาจจะให้คนฟังเตรียมตัว Warm down แล้วไปนั่งชิลล์กับ Take Care คุ้นๆมั้ยเพลงนี้ แซมเปิ้ลจาก Rude Boy ตัวเพลงน่ารักๆ ร้องรัวๆ แถมร้องซ้ำๆอยู่นั่นล่ะ พอฟังไปฟังมาก็มาวนเวียนอยู่ในหัว แถมร้องตามได้อีกตังหาก แหม่ แยบยลจริงๆ ปิดท้ายกันด้วย Ven A Bailar (On The Floor Spanish Ver.) ขออนุญาตไม่พูดถึงนะครับ เพราะคงพูดเหมือนกับที่รีวิว Track แรกไป (ฮาาา)
         
           สรุป
LOVE? อาจไม่ใช่อัลบั้มที่ดีที่สุดจากผู้หญิงที่ชื่อ Jennifer Lopez แต่ก็เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่คอเพลงป๊อป... ไม่สิคอเพลงสากลควรจะมีไว้ในครอบครอง ไม่ใช่เพราะความเป็น Masterpiece แต่เป็นเพราะความเข้าถึงง่ายของเนื้อหาที่โดยรวมก็พูดถึงความรัก เพราะบางทีเวลาที่เราฟังเพลงที่มันตรงกับความรู้สึกของเราจริงๆ มันก็อาจทำให้เราเสียน้ำตาได้นะครับ...

           สุดท้ายนี้ แม้ว่ารีวิวนี้อาจจะไม่ใช่รีวิวที่ดีอะไรมากมายนัก แต่ผมขอมอบรีวิวอัลบั้ม
LOVE? ให้กับทุกๆหัวใจที่มีรักนะครับ ไม่ว่ารักของคุณจะสมหวัง หรือไม่ก็ตาม เพราะอย่างน้อยคุณก็ได้รู้จักกับ "ความรัก"... To you guys... LOVE?R




 BoyRobot


Review: อุโมงค์ผาเมือง




อุโมงค์ผาเมือง (C+)

เกริ่นนำ ในวาระการเฉลิมฉลอง 100 ปี ชาตกาล หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และครบรอบ 40 ปี สหมงคลฟิล์ม ซึ่งทั้งสองวาระได้เวียนมาครบรอบในปีนี้ ประกอบกับผลตอบรับในแง่บวกทั้งเวทีรางวัล และรายได้ หม่อมน้อย หรือหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุลได้กลับมาอีกครั้งกับผลงานลำดับที่ 10... อุโมงค์ผาเมือง

โดย อุโมงค์ผาเมือง เป็นการดัดแปลงจากบทละครของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เรื่อง “ราโชมอน” ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ Ryunosuke Akutagawa อีกต่อหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวเดียวกับที่ Akira Kurosawa ได้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง "ราโชมอน" เมื่อปี พ.ศ. 2493 โดยอุโมงค์ผาเมือง เล่าถึงคดีฆาตกรรมขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) โดยมีผู้ต้องสงสัยเป็นโจรป่าสิงห์คำ (ดอม เหตระกูล) แต่ทั้งขุนโจร แม่หญิงคำแก้ว (เฌอมาลย์ บุญศักดิ์) และขุนศึก(ผ่านคนทรง) ก็ได้ให้การว่าตนเองเป็นผู้ปลิดชีพขุนศึกทั้งสิ้น ซึ่งจากคำให้การนี้เองที่ทำให้ศรัทธาของพระหนุ่ม (มาริโอ้ เมาเร่อ) เกิดความสั่นคลอน จนพระหนุ่มอยากจะลาสิกขา และระหว่างทางที่พระหนุ่มออกธุดงค์ก่อนลาสิกขา พระหนุ่มได้พบกับคนตัดฟืน (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) และสัปเหร่อ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ในอุโมงค์ผาเมือง... ที่ซึ่งความจริงทุกอย่างจะถูกเปิดเผย

*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง

ภาพรวม ตัวหนังเปิดตัวมาด้วยการเล่าพื้นเพของตัวพระหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะเป็นการเล่าที่ให้น้ำหนัก และเน้นให้พระหนุ่มเป็นตัวละครเอกของเรื่องนี้ การเล่าอดีตของพระหนุ่มทำให้เราเห็นว่าทำไมพระหนุ่มจึงตัดสินใจออกบวช (หม่อมน้อยพาผู้ชมไปดูการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และรวมถึงกิเลสในรูปแบบต่างๆ) และตัดมาที่ปัจจุบันในยามที่ศรัทธาของพระหนุ่มเกิดความสั่นคลอนอันเป็นผลมาจากคดีฆาตกรรมที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ซึ่งถือว่าในส่วนนี้หม่อมน้อยได้คะแนนเต็ม ต่อไปเป็นเรื่องเสื้อผ้า โปรดักชั่น ฉากต่างๆ รวมถึงการถ่ายภาพที่หม่อมน้อยยังคงทำได้ดีมาก แต่ดูจะด้อยกว่า ชั่วฟ้าดินสลาย (ส่วนตัวผมชอบการถ่ายภาพแบบมุมกว้างๆนะ สวยดี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ Costume ผมมีความรู้สึกว่าชุดสวยมาก แต่มันดูขัดตาซึ่งก็ไม่รู้ว่าเหมือนน้อยตั้งใจเกินไปหรือเปล่าทำให้งานออกมาดูแล้วขัดตาแปลกๆ

จุดเด่น สิ่งแรกเลยคือ การแสดงของนักแสดงทุกท่าน เหมือนทุกคนจะปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ในทุกๆฉากๆ โดยเฉพาะฉากปะทะคารมระหว่างแม่หญิง ขุนศึก และโจรป่าในฉากสุดท้ายผมว่าทั้งสามคนแสดงถึง และผมรู้สึกได้ว่าแต่ละคนรู้สึกยังไงกับการที่ต้องโกหกในศาล (เพราะความจริงที่มันน่าอาย และไม่ว่าใครๆ ก็อยากดูดีกันทั้งนั้น) อีกสามท่านที่ต้องพูดถึงคือ คนตัดฟืน พระหนุ่ม ส่วนตัวบอกได้เลยว่าไม่เคยคิดว่าสองท่านนี้จะแสดงได้นิ่งมาก และดูน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวมาริโอ้เอง ที่แสดงได้นิ่งมาก (เอ๊ะ หรือนี่คือธรรมชาติอยู่แล้ว ฮา) ส่วนตัวแล้วผมประทับใจตัวสัปเหร่อมากที่สุด เพราะนอกจากที่จะเป็นตัวแทนของคนปกติที่มีทั้งสีขาวและสีดำอยู่ในตัวแล้ว สัปเหร่อยังเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ถูกตัดสินเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก แต่ก็อย่างที่บอกในเมื่อทุกคนต่างก็ปล่อยพลังกันอย่างเต็มที่ทำให้หนังเรื่องหนึ่งไม่สามารถเอาอยู่ เหมือนกับเวลาที่มีคนใส่เสื้อสีแดง กางเกงสีเขียว รองเท้าสีเหลือง ต่อให้ของสามชิ้นนี้สวยงามแค่ไหน แต่พอมาอยู่รวมกันก็ดูล้นๆเกินๆอยู่ดี (แถม ฉากเปิดเผยความจริง ตัวละครทั้งสาม ป่วงได้ใจผมมากกก) แถมอีกนิดคุณพลอยทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่ผมว่าเธอเหมาะกับบทผู้หญิงแบบยุพดีมากกว่าบทผู้หญิงที่ถูกกระทำ อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องขอชมคือ ซาวนด์ ไม่ว่าจะเป็นScoreต่างๆ โดยเฉพาะบทสรรเสริญพระพุทธคุณในตอนต้นเรื่อง ผมว่าแค่บทนี้ก็คลุมธีมของหนังได้ทั้งเรื่องแล้ว (จะว่าไปเพลงของชั่วฟ้าดินสลายก็เพราะมากกกเหมือนกันนะ) จุดสุดท้ายที่ผมชอบก็คือการที่หนังไม่ได้บอกเรามาโต้งๆว่าอยากให้เราได้อะไรจากหนัง แต่เป็นการสอนเราผ่านเหตุผลในการโกหกของตัวละครแต่ละตัว (แม้ว่าสัปเหร่อจะแอบใบ้ๆให้ก็ตาม) ผมว่ามันดีกว่าให้พระหนุ่มมานั่งสรุปให้ฟังตอนท้ายนะ

จุดด้อย นักแสดงที่เยอะเกินไปทำให้ดูเหมือนยังใช้งานนักแสดงไม่คุ้ม ไม่ว่าจะเป็นพระที่รับบทโดยคุณชาย ชาตโยดม หรือคุณรัดเกล้าที่รับบทเป็นคนทรง รวมถึงคุณธัญญา คุณดารณีนุช ที่ผมคิดว่ายังสามารถใช้งาน หรือแสดงฝีมือได้มากกว่านี้ การดำเนินเรื่อง อาจจะด้วยเวลาที่จำกัดทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าการดำเนินเรื่องของหนังดูจะรวบรัดเกินไปซักหน่อยมั้ย โดยเฉพาะฉากที่ความจริงถูกเปิดเผยซึ่งถือเป็นฉากไคล์แมกซ์ของเรื่องผมมีความรู้สึกว่าฉากนั้นถ้ามีการย้อนความถึงเหตุผลของตัวละครแต่ละตัวมากกว่านี้ ฉากนั้นจะเป็นฉากที่น่าจดจำมากกว่าฉากตลกโปกฮาแบบที่ปรากฏอยู่ในหนัง (หรือหม่อมน้อยอาจจะใส่ฉากนั้นมาใน Director’s Cut กันนะ) นอกจากนี้ถ้ามีการพูดถึงตัวละครสัปเหร่อ และคนตัดฟืนมากกว่านี้ว่าทำไมสัปเหร่อถึงมีมุมมองต่อชีวิตแบบนั้น ส่วนตัวคนตัดฟืนผมว่าตัวละครนี้ไม่มีเหตุผลรองรับว่าทำไมเขาถึงต้องโกหก ถ้าจะบอกว่าเพราะเอาดาบไปเลยไม่กล้าเล่าความจริง ผมว่ามันก็ดูแปลกๆไปมั้ยอ่ะ สุดท้ายแอบติดใจบทอยู่นิดนึง ผมว่าตัวบทดูเหมือนจะยัดเยียดคำพูด คำสอนต่างๆจนดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดฟังไม่รู้เรื่องเพียงแค่มันทำให้ตัวละครแต่ละตัวดูไม่เป็นคนจริงๆเท่านั้นเอง

สรุป ถ้าใครต้องการความละเมียดละมัยแบบ ชั่วฟ้าดินสลาย ก็คงต้องผิดหวัง แต่ อุโมงค์ผาเมืองก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งงานภาพยนตร์ที่มีความประณีตที่อาจจะมีรสชาติที่จัดจ้านกว่า ชั่วฟ้าดินสลาย แต่แน่นอนครับอุโมงค์ผาเมืองก็ยังคงเป็นหนังที่ให้อะไรๆกับคนดูได้เช่นเดียวกัน (และแน่นอนว่าเราคงได้พบกับหนังเรื่องนี้อีกครั้งในเวทีรางวัลต่างๆ อย่างน้อยก็เป็นในสาขาด้านเทคนิคต่าง) สุดท้ายนี้เชื่อผมเถอะครับ นานๆคุณจะเจอหนังไทยที่ควรค่าให้เสียเงินตีตั๋วเข้าไปดูในโรง ช่วยกันอุดหนุนหนังไทยดีๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้คนทำหนังนะครับ



BoyRobot



วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Review: Final Destination 5



Final Destination 5 (B)

เกริ่นนำ ย้อนไปเมื่อปี 2000 ภาพยนตร์เรื่องแรกของซีรีย์ Final Destination ได้ออกสู่สายตาคนทั่วโลก หนังที่ว่าด้วย”การโกงความตาย” ไม่สิต้องพูดว่า “ความตายที่ไม่ยอมโดนโกง” จะถูกกว่า ตัวหนังมาพร้อมกับเรื่องราวการที่คนกลุ่มหนึ่งสามารถเอาชนะความตายมาได้ แต่หลังจากนั้นความตายก็ตามมาเก็บกวาดอะไรๆที่พลาดไป อาจจะดูเป็นPlotเรื่องที่“ไม่มีอะไรเลย” แต่ในความ“ไม่มีอะไรเลย”ที่มาพร้อมกับวิธีการที่ความตายตามมาเก็บเหยื่อที่มันสมควรจะได้(ซึ่งดูจะรุนแรง และน่าหวาดเสียวขึ้นทุกภาค!!!) ก็ทำให้ซีรีย์นี้ยืนยาวมาได้ถึง 5 ภาค กับภาคล่าสุด Final Destination 5

Final 5 พูดถึงกลุ่มพนักงานบริษัทกลุ่มหนึ่งที่เอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์สะพานแขวนถล่มมาได้อย่างหวุดหวิด จากการเห็นภาพนิมิต(หรืออะไรก็ตาม)ที่ Sam มองเห็น หลังจากนั้นผู้รอดชีวิตก็ค่อยๆถูกความตายไล่ล่า และแน่นอนว่าการแข่งขันระหว่างการเอาชีวิตรอดของกลุ่มผู้รอดชีวิต กับความต้องการปิดรอยรั่วของความตายก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง
               
ภาพรวม ตัวหนังประกาศโต้งๆเลยว่าเป็น 3D แต่เท่าที่ดูแล้วคิดว่า ดูธรรมดาอรรถรสของหนังก็ไม่น่าจะหายไป เพราะดูเหมือนจะมีแค่ Credit ตอนเริ่มเรื่อง และฉากเปิดตัว (ฉากสะพานถล่ม) เท่านั้นที่ดูจะทำมาเพื่อขาย 3D แต่พอฉากอื่นๆ ก็พอกล้อมแกล้ม และแทบจะไม่รู้สึกถึงความเป็น 3D เลย โทนของหนังสามารถกดดันคนดูไปได้ตลอดเรื่อง ทั้งจากการใช้เสียง หรือการที่กล้องถ่ายภาพสิ่งต่างๆที่อาจจะเป็นสาเหตุของการตายได้ การใช้ CG ในภาพนี้ก็ดูเนียน และสบายตากว่าภาคที่แล้วมาก ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าดูในโรงแล้วคุ้มกว่าดูอยู่ที่บ้านแน่นอน นอกจากนี้ความดราม่าที่ใส่เข้ามาก็ดูเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และดูจะเป็นการกระทำที่ฉลาด โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่า เพราะดราม่าอันนี้แหละที่ทำให้ผมอิน แล้วเอาใจช่วยตัว Sam และ Molly ให้รอดชีวิตมากขึ้น แต่ดูเหมือนหนังจะหมดมุกการคิดวิธีการตายหรืออย่างไร คนหลังๆเริ่มจะตายแบบ... เรียกว่าธรรมดาเกินไปละกัน

จุดเด่น ตัวหนังยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ทั้งในแง่ของการเน้นจุดขายของหนัง คือ วิธีการตายที่คงยากจะเจอในชีวิตจริง และภาพการตายอันน่าสยดสยอง ทั้งในภาพนิมิต และการตายจริงๆ ผมประทับใจนะคนคิดนี่คิดได้เก่งจริงๆ แต่ที่สยองสุดคงเป็นการตายของ Candice ที่นอกจากจะตายด้วยสภาพที่สุดๆแล้ว การBuildอารมณ์ของหนังยังทำให้ผมลุ้นแล้วลุ้นอีก ลุ้นว่าเมื่อไหร่จะเป็นของจริงซักที นอกจากนี้การใช้เสียง ภาพในการbuildอารมณ์คนดูให้รู้สึก “เดี๋ยวมันจะโดนกาน้ำร้อนระเบิดใส่หน้ารึเปล่า” หรือ “ฮึ่ย อย่าเอามือแหย่เข้าไปในเครื่องดิ” ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบ ผมว่ามันทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังและแน่นอนว่ารู้สึกกดดัน รวมถึงการคิดวิธีการโกงความตายที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรแนะ อีกสิ่งหนึ่งที่หนังทำได้ดีคือการ “เอาค้อนมาตีหัวคนดู” ไม่ว่าจะเป็นฉากการตายของ Sam และ Molly ที่ผมว่าน่าสงสารมาก (และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตาย) และดูเหมือนเป็นการ Tribute ให้กับหนัง Final ภาคแรก ซึ่งผมแน่ใจมากว่าเป็นการ Tribute เพราะสิ่งที่มาก่อน End Credit ที่ผมแนะนำเลยนะครับ ว่าไม่อยากให้ทุกคนพลาด มันจัดเต็มจริงๆ สิ่งสุดท้ายที่คงไม่พูดถึงไม่ได้วิธีการเอาคืนของความตาย และการทำยังไงถึงจะรอด ที่ครั้งนี้มาในมุกใหม่ และเป็นต้นเหตุของอีกดราม่าหนึ่งที่มากับตัวของ Peter

จุดด้อย หนังดูจะเน้นฉากการตายจนลืมความสมเหตุสมผลไป ผมไม่ชอบที่ Molly และ Sam ตาย เนื่องจากทั้งสองคนไม่มีเหตุที่สมควรที่จะต้องตายเลย หรือเป็นเพราะทั้งสองคนไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา และไม่ยอมลงจากเครื่องบินทั้งๆที่มีคนโวยวายแล้ว ซึ่งถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้จริง ผมก็ต้องถือว่าความตายทำหน้าที่ของมันได้สมบูรณ์และไม่ยอมถูกใครโกงได้ นอกจากนี้ในส่วนของตัวละครที่ดูยังไม่ค่อยจะเล่นได้สมบทบาทกันมากนัก โดยเฉพาะ Peter ที่ผมไม่อินนะ แฟนตายทั้งที่ แต่ Peter กับทำหน้าตาเหมือนปวดท้อง (ได้ข่าวว่าเค้าทำหน้าเสียใจ) และการเฉลี่ยบทของแต่ละคนที่ยังคงดูประดักประเดิด ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการที่เพิ่มเรื่องราวดราม่าของตัวละครเข้าไป ทำให้คนที่ไม่มีเรื่องราวนั้นๆดูเหมือนจะมีบทที่น้อยกว่านักแสดงคนอื่นๆ รวมถึง เจ้าหน้าที่ Block ที่ผมคิดว่าหนังน่าจะใช้ประโยชน์จากตัวละครตัวนี้ได้มากกว่านี้

          สรุป Final Destination 5 อาจไม่ใช่หนังที่มีบทบาทในเวทีรางวัล หรือเป็นที่น่าจดจำในระดับที่โดดเด่นออกมาจากตัวซีรีย์จนเป็นที่พูดถึง แต่ผมเชื่อนะครับว่า Final Destination 5 ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี คือการให้ความบันเทิง ผมคงไม่มานั่งบอกว่าหนังให้ข้อคิดอะไรกับคนดู แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนได้ออกมาจากโรงในการดูหนังเรื่องนี้คงเป็นความรู้สึก”หวาดระแวง” และ “เกรงกลัว”ความตายกันมากขึ้น และถ้าคุณรู้สึกแบบนั้นหลังจากที่ออกมาจากโรง แน่นอนครับ Final 5 ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์แล้ว   


BoyRobot






วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Review: Beyonce - 4


Beyonce - 4 (B)

                อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่ย่างเข้าปี 2011 วงการเพลงได้ร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเพราะบรรดาเหล่าตัวแม่ทั้งหลายได้กลับเข้ามาสู้รบในสังเวียนอีกครั้งทั้งเจ้าหญิงเพลงพ็อพ Britney Spears ที่ส่งสตูดิโอ อัลบั้มลำดับที่ 7 Femme Fatale ดาวรุ่งดวงใหม่ Lady GaGa กับสตูดิโอ อัลบั้มลำดับที่ 2 Born This Way หรือจะเป็นดิว่าที่ตกค้างมาจากปีที่แล้วทั้ง Rihanna กับ Loud Katy Perry กับอัลบั้มที่ตัดซิงเกิ้ลโปรโมทกันข้ามปี Teenage Dream หรือจะเป็นสาวอวบแต่หน้าสวย น้ำเสียงบาดอารมณ์อย่าง Adele กับอัลบั้ม 21 และแล้วก็ถึงคิวของอีกหนึ่งดิว่า Beyonce ที่ขอเข้าสู่สมรภูมิ โดยส่งสตูดิโอ อัลบั้มลำดับที่ 4 ที่ชื่อง่ายๆว่า “4

                จุดเด่น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Beyonce เป็นคนที่มีน้ำเสียงที่เพราะมาก และเวลาที่เธอร้องบัลลาด เธอก็จะสื่ออารมณ์ของเพลงนั้นๆออกมาได้เป็นอย่างดี ในอัลบั้มนี้จึงเหมือนเป็นการดึงศักยภาพในแง่ของการใช้เสียงของเธอออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ (สังเกตได้จากมีบัลลาดกว่าครึ่งของเพลงทั้งหมด หรือจะทำมาหวังแกรมมี่ก็ไม่รู้แน่ได้) นอกจากการที่เธอยังคงคุม Theme ของอัลบั้มไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากการที่เธอมีส่วนร่วมทั้งในส่วนของการเขียนแพลง และการโปรดิวซ์ ทำให้แน่นอนว่าในอัลบั้มนี้แฟนๆยังคงจะได้พบกับ Beyonce ที่ตนเองคุ้นเคยโดยที่ไม่ถูกบรรดาโปรดิวเซอร์ที่เธอเรียกเข้ามาช่วยงานบดบังความเป็นตัวเองไปอย่างแน่นอน

                จุดด้อย การเรียงแทร็ค และการเลือกแทร็คลงอัลบั้ม ตลอด 12 เพลง (ไม่รวมรีมิกซ์ และโบนัสแทร็ค) คุณจะได้พบกับกองทัพเพลงบัลลาดกว่าค่อนอัลบั้ม) ทำให้ถ้าฟังตอนเหนื่อยๆเพลียๆ อาจจะหลับไปเลยก็ได้ (เพลงที่เร็วที่สุดก็ Run The World (Girls) นั่นแหละ แถมอยู่เพลงสุดท้ายด้วย ปลุกให้ตื่นพอดี) นับว่าถ้าไม่ได้รักกันจริงๆนี่คงถอยตั้งแต่ฟังสามเพลงแรกจบแล้วก็เป็นได้ แถมบัลลาดที่ยัดๆลงมาในอัลบั้มเนี่ย บางเพลงมันเทียบไม่ได้กับเพลงใน I Am เลยนะน่ะ

Track By Track
                เปิดอัลบั้มด้วย 1+1 บัลลาดกล่าวถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของคนสองคน ที่ไม่จำเป็นต้องมีปัจจัยอะไรมากมาย ขอเพียงแค่เรารักกัน และมีกันและกันก็พอแล้ว (ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกใน American Idol แล้วรู้สึกว่า “เพลงอะไรเนี่ย ฟังแล้วปวดหัวมาก” แต่พอฟังแหลายๆรอบ เพลงมันโอเคนะ ฟังแล้วอิ่มอ่ะ) ต่อกันด้วย I Care บทเพลงที่เหมือนเป็นการตัดพ้อต่อว่าคู่รัก ในเวลาที่ฉันต้องการเธอ แต่เธอกลับไม่สนใจฉันเลย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก... เพลงนี้ท่อนคอรัสค่อนข้างจะติดหูฟังไม่กี่รอบก็จำได้แล้ว แต่ด้วยความที่คนร้องจะแหกปากไปไหน พอเพลงจบสิ่งที่จำได้ก็เหลือแค่ la la la เท่านั้น I Miss You บัลลาดเย็นๆที่เพราะใช้ได้ ด้วยอารมณ์ของ Beyonce ทำให้คนที่กำลังเหงาๆอยู่อาจจะอินกับเพลงนี้ได้ง่ายๆ ต่อกันที่ Irreplaceable Part 2 หรือ Best Thing I Never Had ด้วยเนื้อหาที่เชือดเฉือน เชื่อว่าแฟนๆของ Beyonce คงได้เพลงใหม่เอาไว้เปิดปลอบใจตัวเองว่าได้ทำสิ่งที่ถูกแล้ว (ไล่คนไม่ดีออกไปจากชีวิต มันมีอะไรผิดล่ะ จริงป่ะ) ส่วนตัวผมชอบเพลงนี้นะ สะใจดี อีกอย่างเพลงนี้ฟังง่าย และเข้าถึงง่ายกว่าเพลงใครครองโลกอีกนะ Party ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชื่อเพลงรึเปล่า พอฟังแล้วได้อารมณ์เหมือนนั่งอยู่ในคลับ จากนั้นก็ลากคนที่เจอในคลับออกไปด้วยกัน (เอ๊ะ นี่มันตามเนื้อเพลงนะ ฮ่าๆ) กำลังเคลิ้มๆอยู่ดีๆ เจอท่อนแร็พของ Andre 3000 นี่ถึงขั้นตกสวรรค์เลยนะ อ่อ แอบนึกถึง Love In This Club Part 2 ที่ Beyonce เคยไปช่วย Usher อยู่นิดๆด้วย กระชากอารมณ์กันต่อกับ Rather Die Young บทเพลงของหญิงสาวที่บูชาความรัก ถ้าเธอตายฉันขอตายตามดีกว่าอยู่โดยไม่มีเธอ เพลงน่าจะบิลท์อารมณ์ได้มากกว่านี้ถ้าดนตรีไม่กระหึ่มซะอย่างกับจะขู่ผู้ชายว่า นี่แค่พูดเล่น อย่าทะลึ่งตายตอนนี้ล่ะ Start Over เมื่อความรักมาถึงทางตัน คงมีทางเลือกแค่สองทาง คือหยุดมันเอาไว้ หรือพยายามเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แล้วคุณล่ะจะเลือกทางไหน เอาจริงๆผมว่า Beyonce ร้องเพลงแนวนี้ได้อารมณ์นะ มันดูแบบบีบคั้นอารมณ์มาก เหมือนกำลังอ้อนวอนเจย์ ซี อย่าทิ้งบีไปนะ ล่องลอยไปกับ Love On Top เพลงน่ารักๆที่ใครฟังก็คงต้องยิ้ม ขยับตัวตาม และแน่นอนว่าฟังแล้วอารมณ์ดี (เพลงนี้จะได้อารมณ์มากขึ้นถ้าไปอยู่หลัง Party ดูเป็นเพลงภาคต่อกันมากๆ) Countdown ดนตรีแบล็กกราวนด์เหมือนเพลงสวนสนาม ฟังไปฟังมาอาจมีหน้า Mariah Carey กับ Nicki Minaj จากเพลง Up Out My Face ลอยมาเป็นระยะ ยังดีที่เพลงก่อนหน้านี้ไม่ใช่บัลลาดเอื่อยๆ ไม่งั้นพอถึงฮุคเพลงนี้คงมีคนตกใจหัวใจวายแน่ๆ อ่อ อีกอย่าง verse1 เพลงนี้ดูไม่ได้มากับท่อนอื่นๆของเพลงเลยแฮะ ขยับกันต่อกับเพลงน่ารักๆอย่าง End Of Time ของแบบนี้พูดกันตรงๆเลยดีกว่าจะมาอ้อมค้อม “มารักกับฉันสิ ฉันจะไม่ยอมปล่อยคุณไปไหนหรอก และฉันก็จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคุณตลอดไป” เป็นเพลงที่เหมาะเอาไว้ฟังเพื่อเรียกพลังแล้วรับรองคุณจะลืมความนอยด์ไปเลยทีเดียว I Was Here อีกหนึ่งการจรดปลายปากกาของ Diane Warren เพลงบัลลาดความหมายดีๆ แต่มาผิดที่ผิดเวลา (ถึงได้บอกว่าการเรียงแทร็คอัลบั้มนี้มันแปลกๆ) มันควรจะมาช่วงแรกๆพร้อมกับกองทัพบัลลาด มาตอนนี้ก็มาขัดอารมณ์เพลงเร็วๆหมด ปิดอัลบั้มกันด้วย  Run The World (Girls) ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้มที่ยังคงแสดงความเข้มแข็งของสตรีเพศ ยืมแซมเปิ้ลมาจาก Pon De Floor ของ Major Lazer ตัวเพลงดูโหวกเหวกโวยจนเรียกได้ว่าใครที่ฟังครั้งแรกอาจจะรีบเปลี่ยนเพลงทันที และแน่นอนว่าเพลงไม่ถูกหูแบบนี้ก็ทำอันดับได้น่าอนาถใน Billboard Chart จนแทบไม่มีใครอยากพูดถึงเพลงนี้เลย

สรุป ด้วยความพยายามที่จะดึงสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีออกมา แล้วนำมาต่อยอดจนทิ้งคำว่าตลาดกระแสหลักไป แต่โดยรวมแล้วถึงแม้ว่าตัวเพลงอาจจะฟังยาก และอาจจะไม่ถูกหูสำหรับแฟนๆขาจร แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณให้โอกาสอัลบั้มนี้ คุณก็จะหลงรักอัลบั้มนี้มากขึ้น ถ้าการฟังรวมเดียวแล้วมันชวนหลับลองฟังแยกแทร็คแล้วความไพเราะของเพลงต่างๆก็จะเด่นชัดมากยิ่งขึ้น


ฺBoyRobot


วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Review: Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2


Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2 (C+)


*หมายเหตุ รีวิวนี้เป็นรีวิวแรกที่ผมเขียนนะครับ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ ผมจะพยายามปรับปรุงในรีวิวครั้งต่อๆไปครับ


          เกริ่นนำ ย้อนไปเมื่อปี 1997 ชื่อของ Harry Potter ได้ถูกแนะนำให้ทั้งโลกได้รู้จัก ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผมเองที่ในตอนนั้นอยู่ช่วงประมาณ ป.6 หรือ ม.1 (ความทรงจำเริ่มเลือนราง) ต่อมาในปี 2001 ภาพยนตร์ภาคแรกในชื่อเดียวกับตัววรรณกรรมคือ Harry Potter and the Sorcerer's Stone ก็ได้ออกฉายทั่วโลก พร้อมทั้งโกยเงินจากได้เป็นกอบเป็นกำ (974 ล้านจากการฉายทั่วโลก) จากบทวรรณกรรมกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวที่โลดแล่นบนแผนฟิล์ม หลังจากการเดินทางอันยาวนาน รายได้กว่า 6 พันล้าน US Dollar จากภาพยนตร์ชุดนี้ เราก็ได้เดินทางมาถึงบทสรุปของเรื่องราวที่พวกเราได้เป็นประจักษ์พยานที่เกิดขึ้นเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว

          Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2 ดำเนินเรื่องต่อจาก Part 1 โดยเริ่มต้นที่ Lord Voldemort ได้ครอบครองไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ ในขณะที่ Harry, Ron และ Hermione ได้ออกตามหา Horcrux ที่เหลืออีก2 อัน เพื่อตัดสายใยต่างๆที่ทำให้ Lord Voldemort เป็นอมตะ เพื่อในการเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย Lord Voldemort จะได้เป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดาที่ตายได้ และในที่สุดการรบครั้งสุดท้ายของเหล่าผู้มีเวทมนตร์ รวมถึงสัตว์วิเศษต่างๆ ก็ได้ระเบิดขึ้นที่ Hogwarts การรบครั้งสุดท้ายที่จะนำทุกๆคนไปสู่บทสรุปการต่อสู้อันยาวนานระหว่างพ่อมดแม่มดฝ่ายดี และฝ่ายมืด ระหว่าง Harry Potter และ Lord Voldemort


*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง

          ภาพรวม หนังทำออกมาในแนวทึมๆเหมือนเรื่องราวในตัวหนังสือที่เริ่มมาตั้งแต่ภาค The Order of The Phoenix ผู้กำกับ (David Yates ผู้รับหน้าที่ผู้กำกับมาตั้งแต่ภาค The Order of The Phoenix) ยังคงคุมโทน ถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดี แม้ว่าการดำเนินเรื่องในช่วงแรกๆจะดูเอื่อยๆเนือยๆไปบ้าง เหมือนเครื่องยังไม่ติด ซึ่งในช่วงนี้เหมือนเป็นการอุ่นเครื่องให้คนดูปะติดปะต่อเรื่องราวจากภาคที่แล้ว แต่โดยส่วนตัวผมว่ามันสามารถทำให้น่าสนใจได้มากกว่านี้ แต่พอเริ่มฉาก Hogwarts ก็ดำเนินเรื่องได้คงเส้นคงวา และดูจะเพิ่มความสนุก ความน่าติดตามไปได้ตลอดตามสไตล์ของผู้กำกับในภาคนี้ หลายๆฉากยังไม่สามารถพาผมไปถึงจุดพีคได้ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่พักรบครึ่งแรกที่มีการจัดการกับศพคนตาย ผมว่าฉากนั้นมันสามารถทำให้คนดูอินได้มากกว่านี้ แต่ในหนังกลับทำมานิดเดียว ยังไม่ทันได้อินอะไรเลย Harry ก็วิ่งหนีไปซะแล้ว หรือจะเป็นฉากที่ทั้ง Harry, Ron และ Hermione ได้พบกับ Aberforth ผมชอบในหนังสือมากกว่านะที่ Harry พูดถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของ Dumbledore ผมว่าเพราะสิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่ทำให้ Aberforth เปลี่ยนความคิดและให้อภัยพี่ชายของเขา

          จุดเด่น คงปฏิเสธไม่ได้ว่านักแสดงทุกคนแสดงดีกันมากกก ที่ลืมไม่ได้เลยคือ McGonagall ฉากที่พุ่งออกมาจากกลุ่มคนเพื่อเผชิญหน้ากับ Snape ได้ใจผมไปเต็มๆเลยครับ Bellatrix Lestrange ตัวร้ายที่ผมชอบมาก ในภาคนี้ก้ยังคงรั่วได้ใจผมเหมือนเดิม (ตอนเล่นเป็น Hermione ในร่าง Bellatrix นี่น่ารักจริงๆนะครับ ควีนมัม เอ้ย Miss Bella) นักแสดงชายคงไม่มีใครปฏิเสธว่าฮีโร่ของเรา Severus Snape เล่นได้เยี่ยมยอดทั้งสีหน้า ท่าทาง ความนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นฉากที่โรงเก็บเรือที่บอกให้ Harry เอาน้ำตาไปในเพนซิป หรือจะเป็นฉากย้อนอดีตต่างๆ และคนสุดท้าย ตัวขโมยซีนของภาคนี้ Neville Longbottom ฉากที่พูดกับ Lord Voldemort เท่มาก ไม่น่าเชื่อว่าเด็กชายขี้ลืมไม่เอาไหนคนนั้น (ตามบท) จะกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรเท่ห์ๆได้ขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ องค์ประกอบฉาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากการรบครั้งสุดท้าย ทั้ง CG องค์ประกอบศิลป์ แสง สี เสียง ทำให้ผมนั่งขนลุก (แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอากาศหนาว) อยู่ในโรง ฉากที่ผู้วิเศษกำลังเสกเวทมนตร์คุ้มครองปราสาท หรือหุ่นอัศวินเดินแถว การบุกโจมตีของเหล่าผู้เสพความตาย และยิ่งการถ่ายภาพมุมสูงให้เห็นว่าทั้งปราสาทมีการต่อสู้ ไฟไหม้ ทำให้ผู้เชื่อจริงๆว่า ศึกครั้งนี้มันมีความสำคัญ และอันตรายใหญ่หลวง และที่ต้องขอชำจริงๆคือฉากความทรงจำของ Snape แม้จะเป็นลูกเล่นเดิมๆที่เคยเห็นไปแล้ว แต่แค่ฉากนั้นฉากเดียวผมเชื่อว่าคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน จะต้องรับรู้ได้ว่าความรักของ Snape ที่มีต่อ Lily มันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน และที่ลืมไม่ได้ ดนตรีประกอบ ถ้าจุดมุ่งหมายของดนตรีประกอบคือการทำให้คนดูอินไปกับเรื่องราวในช่วงนั้นๆของตัวหนัง ดนตรีประกอบฝีมือ Alexandre Desplat ถือว่าทำได้อย่างดีเยี่ยม ดนตรีที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่นของผู้คนที่กำลังเตรียมตัวรับมือเหล่าผู้เสพความตาย หรือในฉากอื่นๆ ที่ถือว่ามาได้เหมาะเจาะมากๆ (ชิงออสการ์ติดต่อกันปีที่สี่เลยมั้ยครับลุง)

          จุดด้อย ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่าเข้าใจและทำใจไว้แล้วก่อนเข้าโรงว่าจะให้ดัดแปลงจากหนังสือมาเป๊ะๆ 100% มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่บางฉากมันไม่ไหวจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากการต่อสู้ตัวต่อตัวระหว่าง Harry และ Lord Voldemort ผมชอบเวอร์ชั่นในหนังสือมากกว่านะ ผมว่ามันดูขลังมากกว่าให้มาต่อสู้แค่สองคนเหมือนในหนัง เพราะว่าในหนังสือมันจะมีคำพูดต่างๆของแฮร์รีไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงจุดด้อย เรื่องที่ Lord Voldemort มองข้ามไป และเรื่องที่จริงๆแล้ว Snape ให้ความภักดีต่อใคร โดยที่มีสักชีพยานคนอื่นๆรวมอยู่ด้วย ผมว่าถ้าทำออกมาในลักษณะเดียวกับในหนังมันเหมือนเป็นการให้เกียรติ Snape โดยการบอกให้ทุกๆคนรู้ว่าเขาเป็นคนดีแค่ไหน (หรือ Yates ยึดถือคำขอร้องที่ Snape ขอกับ Dumbledore ว่าไม่ให้เขาเปิดเผยส่วนที่ดีที่สุดของ Snape ฮา) นอกจากนี้ฉากจุดจบของ Lord Voldemort ในหนังจะเป็นการที่ร่างของเขาสลายไป แต่ผมกลับรู้สึกว่าถ้าเป็นการตายแบบธรรมดา คือล้มลงนอนตายแบบคนปกติมันจะเรียกพลัง และยิ่งใหญ่มากกว่าอยู่ดีๆก็ให้ร่างสลายไป หรือจะเป็นฉากในคิงคอร์สผมว่าถ้าใส่มาเผื่อให้หนังมีครบทุกบทตามหนังสือก็ไม่ต้องใส่มาเลยจะดีกว่า ในหนังสือ Dumbledore ได้ตอบคำถามต่างๆของ Harry ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม้กายสิทธิ์ การเชื่อมโยงวิญญาณ แต่ในหนังกลับทำออกมาเหมือนเป็นฉากที่ไม่มีความสำคัญอะไร ทำให้ Dumbledore ดูกลายเป็นตัวตลก แทนที่จะแสดงภาพของความน่าเชื่อถือ และฉากอวสานของไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ ทำไมต้องหักแล้วโยนไม้ทิ้ง ผมว่ามันคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะให้ Harry เดินเอาไม้ไปคืนที่หลุมศพของ Dumbledore หรือซักนิดกับการซ่อมไม้กายสิทธิ์ขนนกฟีนิกซ์ของตัวเอง ผมรับไม่ได้จริงๆกับการหักไม้กายสิทธิ์เหมือนไม้ธรรมดาที่ไม่มีค่า นอกจากนี้การใส่มุกที่ผมคิดว่ามากเกินไป โอเค คือเข้าใจนะครับว่าหนังมันเครียด การใส่มุกต่างๆเข้ามาทำให้มันโทนของหนังดูผ่อนคลายขึ้น แต่อะไรที่มันมากเกินไปก็ไม่ดีนะครับ ส่วนสุดท้ายที่จะขอตินะครับ อารมณ์ของหนัง หลายๆฉากที่ผมว่าถ้ามีการบิวท์ดีกว่านี้มันเรียกน้ำตาได้อย่างแน่นอน ตัวละครแต่ละครทุกๆตัวมันถึง หรือเกือบจะถึงแล้วล่ะครับ ถ้ามีการแช่ที่ฉากนั้นนานๆหน่อย ผมว่ามีคนน้ำตาแตกในโรงอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นฉากจัดการกับศพต่างๆของผู้เสียชีวิต มันเป็นฉากที่เศร้านะครับ แต่ Yates กับให้เวลากับฉากนั้นน้อยเกินไป

          ทสรุป แม้ว่าจะรู้สึกค่อนข้างผิดหวังกับหนังภาคนี้ (ส่วนตัวผมชอบ 7.1 มากกว่านะ) แต่โดยภาพรวมของหนัง ตั้งแต่ Harry Potter and the Deathly Hallows Part 1 ตั้งแต่เราออกเดินทางจากบ้าน Dursley จนมาสิ้นสุดการเดินทางที่ Hogwarts ผมว่า ซีรีย์ Harry Potter ก็ปิดฉากลงได้อย่างยิ่งใหญ่ และเต็มภาคภูมิไม่แพ้ The Lord of the Rings เลยทีเดียว (แค่ฉากการรบครั้งสุดท้ายที่ Hogwarts ก็น่าจะเพียงพอแล้ว) และพอ End Credit ขึ้น ผมอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกที่แบบ “เฮ้ย มันจบแล้วนะ” มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่อ่านหนังสือจบ รู้สึกใจหายและเสียดายแต่ผมเชื่อว่าในใจของแฟนๆซีรีย์นี้ ทุกๆคนคงจะไม่มีวันลืม Harry Potter และเหล่าผู้วิเศษ สัตว์วิเศษต่างๆ สิ่งต่างๆเหล่านั้นยังคงโลดแล่นอยู่ไม่ว่าจะอยู่ตามตัวอักษรในหนังสือ หรือในรูปแบบของ DVD Blu-ray (ส่วนผมเก็บ Boxset แน่นอนครับ) และผมเชื่อครับพวกเขากำลังรอให้เราไปร่วมผจญภัยกับพวกเขาอีกครั้งอย่างแน่นอน 



BoyRobot