วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Review: Beyonce - 4


Beyonce - 4 (B)

                อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่ย่างเข้าปี 2011 วงการเพลงได้ร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเพราะบรรดาเหล่าตัวแม่ทั้งหลายได้กลับเข้ามาสู้รบในสังเวียนอีกครั้งทั้งเจ้าหญิงเพลงพ็อพ Britney Spears ที่ส่งสตูดิโอ อัลบั้มลำดับที่ 7 Femme Fatale ดาวรุ่งดวงใหม่ Lady GaGa กับสตูดิโอ อัลบั้มลำดับที่ 2 Born This Way หรือจะเป็นดิว่าที่ตกค้างมาจากปีที่แล้วทั้ง Rihanna กับ Loud Katy Perry กับอัลบั้มที่ตัดซิงเกิ้ลโปรโมทกันข้ามปี Teenage Dream หรือจะเป็นสาวอวบแต่หน้าสวย น้ำเสียงบาดอารมณ์อย่าง Adele กับอัลบั้ม 21 และแล้วก็ถึงคิวของอีกหนึ่งดิว่า Beyonce ที่ขอเข้าสู่สมรภูมิ โดยส่งสตูดิโอ อัลบั้มลำดับที่ 4 ที่ชื่อง่ายๆว่า “4

                จุดเด่น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Beyonce เป็นคนที่มีน้ำเสียงที่เพราะมาก และเวลาที่เธอร้องบัลลาด เธอก็จะสื่ออารมณ์ของเพลงนั้นๆออกมาได้เป็นอย่างดี ในอัลบั้มนี้จึงเหมือนเป็นการดึงศักยภาพในแง่ของการใช้เสียงของเธอออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ (สังเกตได้จากมีบัลลาดกว่าครึ่งของเพลงทั้งหมด หรือจะทำมาหวังแกรมมี่ก็ไม่รู้แน่ได้) นอกจากการที่เธอยังคงคุม Theme ของอัลบั้มไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากการที่เธอมีส่วนร่วมทั้งในส่วนของการเขียนแพลง และการโปรดิวซ์ ทำให้แน่นอนว่าในอัลบั้มนี้แฟนๆยังคงจะได้พบกับ Beyonce ที่ตนเองคุ้นเคยโดยที่ไม่ถูกบรรดาโปรดิวเซอร์ที่เธอเรียกเข้ามาช่วยงานบดบังความเป็นตัวเองไปอย่างแน่นอน

                จุดด้อย การเรียงแทร็ค และการเลือกแทร็คลงอัลบั้ม ตลอด 12 เพลง (ไม่รวมรีมิกซ์ และโบนัสแทร็ค) คุณจะได้พบกับกองทัพเพลงบัลลาดกว่าค่อนอัลบั้ม) ทำให้ถ้าฟังตอนเหนื่อยๆเพลียๆ อาจจะหลับไปเลยก็ได้ (เพลงที่เร็วที่สุดก็ Run The World (Girls) นั่นแหละ แถมอยู่เพลงสุดท้ายด้วย ปลุกให้ตื่นพอดี) นับว่าถ้าไม่ได้รักกันจริงๆนี่คงถอยตั้งแต่ฟังสามเพลงแรกจบแล้วก็เป็นได้ แถมบัลลาดที่ยัดๆลงมาในอัลบั้มเนี่ย บางเพลงมันเทียบไม่ได้กับเพลงใน I Am เลยนะน่ะ

Track By Track
                เปิดอัลบั้มด้วย 1+1 บัลลาดกล่าวถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของคนสองคน ที่ไม่จำเป็นต้องมีปัจจัยอะไรมากมาย ขอเพียงแค่เรารักกัน และมีกันและกันก็พอแล้ว (ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกใน American Idol แล้วรู้สึกว่า “เพลงอะไรเนี่ย ฟังแล้วปวดหัวมาก” แต่พอฟังแหลายๆรอบ เพลงมันโอเคนะ ฟังแล้วอิ่มอ่ะ) ต่อกันด้วย I Care บทเพลงที่เหมือนเป็นการตัดพ้อต่อว่าคู่รัก ในเวลาที่ฉันต้องการเธอ แต่เธอกลับไม่สนใจฉันเลย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก... เพลงนี้ท่อนคอรัสค่อนข้างจะติดหูฟังไม่กี่รอบก็จำได้แล้ว แต่ด้วยความที่คนร้องจะแหกปากไปไหน พอเพลงจบสิ่งที่จำได้ก็เหลือแค่ la la la เท่านั้น I Miss You บัลลาดเย็นๆที่เพราะใช้ได้ ด้วยอารมณ์ของ Beyonce ทำให้คนที่กำลังเหงาๆอยู่อาจจะอินกับเพลงนี้ได้ง่ายๆ ต่อกันที่ Irreplaceable Part 2 หรือ Best Thing I Never Had ด้วยเนื้อหาที่เชือดเฉือน เชื่อว่าแฟนๆของ Beyonce คงได้เพลงใหม่เอาไว้เปิดปลอบใจตัวเองว่าได้ทำสิ่งที่ถูกแล้ว (ไล่คนไม่ดีออกไปจากชีวิต มันมีอะไรผิดล่ะ จริงป่ะ) ส่วนตัวผมชอบเพลงนี้นะ สะใจดี อีกอย่างเพลงนี้ฟังง่าย และเข้าถึงง่ายกว่าเพลงใครครองโลกอีกนะ Party ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชื่อเพลงรึเปล่า พอฟังแล้วได้อารมณ์เหมือนนั่งอยู่ในคลับ จากนั้นก็ลากคนที่เจอในคลับออกไปด้วยกัน (เอ๊ะ นี่มันตามเนื้อเพลงนะ ฮ่าๆ) กำลังเคลิ้มๆอยู่ดีๆ เจอท่อนแร็พของ Andre 3000 นี่ถึงขั้นตกสวรรค์เลยนะ อ่อ แอบนึกถึง Love In This Club Part 2 ที่ Beyonce เคยไปช่วย Usher อยู่นิดๆด้วย กระชากอารมณ์กันต่อกับ Rather Die Young บทเพลงของหญิงสาวที่บูชาความรัก ถ้าเธอตายฉันขอตายตามดีกว่าอยู่โดยไม่มีเธอ เพลงน่าจะบิลท์อารมณ์ได้มากกว่านี้ถ้าดนตรีไม่กระหึ่มซะอย่างกับจะขู่ผู้ชายว่า นี่แค่พูดเล่น อย่าทะลึ่งตายตอนนี้ล่ะ Start Over เมื่อความรักมาถึงทางตัน คงมีทางเลือกแค่สองทาง คือหยุดมันเอาไว้ หรือพยายามเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แล้วคุณล่ะจะเลือกทางไหน เอาจริงๆผมว่า Beyonce ร้องเพลงแนวนี้ได้อารมณ์นะ มันดูแบบบีบคั้นอารมณ์มาก เหมือนกำลังอ้อนวอนเจย์ ซี อย่าทิ้งบีไปนะ ล่องลอยไปกับ Love On Top เพลงน่ารักๆที่ใครฟังก็คงต้องยิ้ม ขยับตัวตาม และแน่นอนว่าฟังแล้วอารมณ์ดี (เพลงนี้จะได้อารมณ์มากขึ้นถ้าไปอยู่หลัง Party ดูเป็นเพลงภาคต่อกันมากๆ) Countdown ดนตรีแบล็กกราวนด์เหมือนเพลงสวนสนาม ฟังไปฟังมาอาจมีหน้า Mariah Carey กับ Nicki Minaj จากเพลง Up Out My Face ลอยมาเป็นระยะ ยังดีที่เพลงก่อนหน้านี้ไม่ใช่บัลลาดเอื่อยๆ ไม่งั้นพอถึงฮุคเพลงนี้คงมีคนตกใจหัวใจวายแน่ๆ อ่อ อีกอย่าง verse1 เพลงนี้ดูไม่ได้มากับท่อนอื่นๆของเพลงเลยแฮะ ขยับกันต่อกับเพลงน่ารักๆอย่าง End Of Time ของแบบนี้พูดกันตรงๆเลยดีกว่าจะมาอ้อมค้อม “มารักกับฉันสิ ฉันจะไม่ยอมปล่อยคุณไปไหนหรอก และฉันก็จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคุณตลอดไป” เป็นเพลงที่เหมาะเอาไว้ฟังเพื่อเรียกพลังแล้วรับรองคุณจะลืมความนอยด์ไปเลยทีเดียว I Was Here อีกหนึ่งการจรดปลายปากกาของ Diane Warren เพลงบัลลาดความหมายดีๆ แต่มาผิดที่ผิดเวลา (ถึงได้บอกว่าการเรียงแทร็คอัลบั้มนี้มันแปลกๆ) มันควรจะมาช่วงแรกๆพร้อมกับกองทัพบัลลาด มาตอนนี้ก็มาขัดอารมณ์เพลงเร็วๆหมด ปิดอัลบั้มกันด้วย  Run The World (Girls) ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้มที่ยังคงแสดงความเข้มแข็งของสตรีเพศ ยืมแซมเปิ้ลมาจาก Pon De Floor ของ Major Lazer ตัวเพลงดูโหวกเหวกโวยจนเรียกได้ว่าใครที่ฟังครั้งแรกอาจจะรีบเปลี่ยนเพลงทันที และแน่นอนว่าเพลงไม่ถูกหูแบบนี้ก็ทำอันดับได้น่าอนาถใน Billboard Chart จนแทบไม่มีใครอยากพูดถึงเพลงนี้เลย

สรุป ด้วยความพยายามที่จะดึงสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีออกมา แล้วนำมาต่อยอดจนทิ้งคำว่าตลาดกระแสหลักไป แต่โดยรวมแล้วถึงแม้ว่าตัวเพลงอาจจะฟังยาก และอาจจะไม่ถูกหูสำหรับแฟนๆขาจร แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณให้โอกาสอัลบั้มนี้ คุณก็จะหลงรักอัลบั้มนี้มากขึ้น ถ้าการฟังรวมเดียวแล้วมันชวนหลับลองฟังแยกแทร็คแล้วความไพเราะของเพลงต่างๆก็จะเด่นชัดมากยิ่งขึ้น


ฺBoyRobot


1 ความคิดเห็น: