วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

Review: อุโมงค์ผาเมือง




อุโมงค์ผาเมือง (C+)

เกริ่นนำ ในวาระการเฉลิมฉลอง 100 ปี ชาตกาล หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และครบรอบ 40 ปี สหมงคลฟิล์ม ซึ่งทั้งสองวาระได้เวียนมาครบรอบในปีนี้ ประกอบกับผลตอบรับในแง่บวกทั้งเวทีรางวัล และรายได้ หม่อมน้อย หรือหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุลได้กลับมาอีกครั้งกับผลงานลำดับที่ 10... อุโมงค์ผาเมือง

โดย อุโมงค์ผาเมือง เป็นการดัดแปลงจากบทละครของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เรื่อง “ราโชมอน” ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ Ryunosuke Akutagawa อีกต่อหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวเดียวกับที่ Akira Kurosawa ได้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง "ราโชมอน" เมื่อปี พ.ศ. 2493 โดยอุโมงค์ผาเมือง เล่าถึงคดีฆาตกรรมขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) โดยมีผู้ต้องสงสัยเป็นโจรป่าสิงห์คำ (ดอม เหตระกูล) แต่ทั้งขุนโจร แม่หญิงคำแก้ว (เฌอมาลย์ บุญศักดิ์) และขุนศึก(ผ่านคนทรง) ก็ได้ให้การว่าตนเองเป็นผู้ปลิดชีพขุนศึกทั้งสิ้น ซึ่งจากคำให้การนี้เองที่ทำให้ศรัทธาของพระหนุ่ม (มาริโอ้ เมาเร่อ) เกิดความสั่นคลอน จนพระหนุ่มอยากจะลาสิกขา และระหว่างทางที่พระหนุ่มออกธุดงค์ก่อนลาสิกขา พระหนุ่มได้พบกับคนตัดฟืน (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) และสัปเหร่อ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ในอุโมงค์ผาเมือง... ที่ซึ่งความจริงทุกอย่างจะถูกเปิดเผย

*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง

ภาพรวม ตัวหนังเปิดตัวมาด้วยการเล่าพื้นเพของตัวพระหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะเป็นการเล่าที่ให้น้ำหนัก และเน้นให้พระหนุ่มเป็นตัวละครเอกของเรื่องนี้ การเล่าอดีตของพระหนุ่มทำให้เราเห็นว่าทำไมพระหนุ่มจึงตัดสินใจออกบวช (หม่อมน้อยพาผู้ชมไปดูการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และรวมถึงกิเลสในรูปแบบต่างๆ) และตัดมาที่ปัจจุบันในยามที่ศรัทธาของพระหนุ่มเกิดความสั่นคลอนอันเป็นผลมาจากคดีฆาตกรรมที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ซึ่งถือว่าในส่วนนี้หม่อมน้อยได้คะแนนเต็ม ต่อไปเป็นเรื่องเสื้อผ้า โปรดักชั่น ฉากต่างๆ รวมถึงการถ่ายภาพที่หม่อมน้อยยังคงทำได้ดีมาก แต่ดูจะด้อยกว่า ชั่วฟ้าดินสลาย (ส่วนตัวผมชอบการถ่ายภาพแบบมุมกว้างๆนะ สวยดี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ Costume ผมมีความรู้สึกว่าชุดสวยมาก แต่มันดูขัดตาซึ่งก็ไม่รู้ว่าเหมือนน้อยตั้งใจเกินไปหรือเปล่าทำให้งานออกมาดูแล้วขัดตาแปลกๆ

จุดเด่น สิ่งแรกเลยคือ การแสดงของนักแสดงทุกท่าน เหมือนทุกคนจะปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ในทุกๆฉากๆ โดยเฉพาะฉากปะทะคารมระหว่างแม่หญิง ขุนศึก และโจรป่าในฉากสุดท้ายผมว่าทั้งสามคนแสดงถึง และผมรู้สึกได้ว่าแต่ละคนรู้สึกยังไงกับการที่ต้องโกหกในศาล (เพราะความจริงที่มันน่าอาย และไม่ว่าใครๆ ก็อยากดูดีกันทั้งนั้น) อีกสามท่านที่ต้องพูดถึงคือ คนตัดฟืน พระหนุ่ม ส่วนตัวบอกได้เลยว่าไม่เคยคิดว่าสองท่านนี้จะแสดงได้นิ่งมาก และดูน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวมาริโอ้เอง ที่แสดงได้นิ่งมาก (เอ๊ะ หรือนี่คือธรรมชาติอยู่แล้ว ฮา) ส่วนตัวแล้วผมประทับใจตัวสัปเหร่อมากที่สุด เพราะนอกจากที่จะเป็นตัวแทนของคนปกติที่มีทั้งสีขาวและสีดำอยู่ในตัวแล้ว สัปเหร่อยังเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ถูกตัดสินเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก แต่ก็อย่างที่บอกในเมื่อทุกคนต่างก็ปล่อยพลังกันอย่างเต็มที่ทำให้หนังเรื่องหนึ่งไม่สามารถเอาอยู่ เหมือนกับเวลาที่มีคนใส่เสื้อสีแดง กางเกงสีเขียว รองเท้าสีเหลือง ต่อให้ของสามชิ้นนี้สวยงามแค่ไหน แต่พอมาอยู่รวมกันก็ดูล้นๆเกินๆอยู่ดี (แถม ฉากเปิดเผยความจริง ตัวละครทั้งสาม ป่วงได้ใจผมมากกก) แถมอีกนิดคุณพลอยทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่ผมว่าเธอเหมาะกับบทผู้หญิงแบบยุพดีมากกว่าบทผู้หญิงที่ถูกกระทำ อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องขอชมคือ ซาวนด์ ไม่ว่าจะเป็นScoreต่างๆ โดยเฉพาะบทสรรเสริญพระพุทธคุณในตอนต้นเรื่อง ผมว่าแค่บทนี้ก็คลุมธีมของหนังได้ทั้งเรื่องแล้ว (จะว่าไปเพลงของชั่วฟ้าดินสลายก็เพราะมากกกเหมือนกันนะ) จุดสุดท้ายที่ผมชอบก็คือการที่หนังไม่ได้บอกเรามาโต้งๆว่าอยากให้เราได้อะไรจากหนัง แต่เป็นการสอนเราผ่านเหตุผลในการโกหกของตัวละครแต่ละตัว (แม้ว่าสัปเหร่อจะแอบใบ้ๆให้ก็ตาม) ผมว่ามันดีกว่าให้พระหนุ่มมานั่งสรุปให้ฟังตอนท้ายนะ

จุดด้อย นักแสดงที่เยอะเกินไปทำให้ดูเหมือนยังใช้งานนักแสดงไม่คุ้ม ไม่ว่าจะเป็นพระที่รับบทโดยคุณชาย ชาตโยดม หรือคุณรัดเกล้าที่รับบทเป็นคนทรง รวมถึงคุณธัญญา คุณดารณีนุช ที่ผมคิดว่ายังสามารถใช้งาน หรือแสดงฝีมือได้มากกว่านี้ การดำเนินเรื่อง อาจจะด้วยเวลาที่จำกัดทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าการดำเนินเรื่องของหนังดูจะรวบรัดเกินไปซักหน่อยมั้ย โดยเฉพาะฉากที่ความจริงถูกเปิดเผยซึ่งถือเป็นฉากไคล์แมกซ์ของเรื่องผมมีความรู้สึกว่าฉากนั้นถ้ามีการย้อนความถึงเหตุผลของตัวละครแต่ละตัวมากกว่านี้ ฉากนั้นจะเป็นฉากที่น่าจดจำมากกว่าฉากตลกโปกฮาแบบที่ปรากฏอยู่ในหนัง (หรือหม่อมน้อยอาจจะใส่ฉากนั้นมาใน Director’s Cut กันนะ) นอกจากนี้ถ้ามีการพูดถึงตัวละครสัปเหร่อ และคนตัดฟืนมากกว่านี้ว่าทำไมสัปเหร่อถึงมีมุมมองต่อชีวิตแบบนั้น ส่วนตัวคนตัดฟืนผมว่าตัวละครนี้ไม่มีเหตุผลรองรับว่าทำไมเขาถึงต้องโกหก ถ้าจะบอกว่าเพราะเอาดาบไปเลยไม่กล้าเล่าความจริง ผมว่ามันก็ดูแปลกๆไปมั้ยอ่ะ สุดท้ายแอบติดใจบทอยู่นิดนึง ผมว่าตัวบทดูเหมือนจะยัดเยียดคำพูด คำสอนต่างๆจนดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดฟังไม่รู้เรื่องเพียงแค่มันทำให้ตัวละครแต่ละตัวดูไม่เป็นคนจริงๆเท่านั้นเอง

สรุป ถ้าใครต้องการความละเมียดละมัยแบบ ชั่วฟ้าดินสลาย ก็คงต้องผิดหวัง แต่ อุโมงค์ผาเมืองก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งงานภาพยนตร์ที่มีความประณีตที่อาจจะมีรสชาติที่จัดจ้านกว่า ชั่วฟ้าดินสลาย แต่แน่นอนครับอุโมงค์ผาเมืองก็ยังคงเป็นหนังที่ให้อะไรๆกับคนดูได้เช่นเดียวกัน (และแน่นอนว่าเราคงได้พบกับหนังเรื่องนี้อีกครั้งในเวทีรางวัลต่างๆ อย่างน้อยก็เป็นในสาขาด้านเทคนิคต่าง) สุดท้ายนี้เชื่อผมเถอะครับ นานๆคุณจะเจอหนังไทยที่ควรค่าให้เสียเงินตีตั๋วเข้าไปดูในโรง ช่วยกันอุดหนุนหนังไทยดีๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้คนทำหนังนะครับ



BoyRobot



2 ความคิดเห็น: