วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Review: Chernobyl Diaries


Chernobyl Diaries (C+)


          เกริ่นนำ หลังจากการระเบิดของโรงไฟฟ้าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เมือง Chernobyl ชาว Chrnobyl และเมืองรอบๆข้างได้ย้ายออกจากบ้านของตัวเองโดยไม่มีแม้แต่เวลาจะเก็บของ ด้วยปริมาณความเข้มข้นของรังสีที่รั่วไหลออกมา ทำให้ทุกวันนี้ Chernobyl ได้กลายเป็นเมืองร้าง แต่แล้วก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์กลายพันธุ์ต่างๆ หรือข่าวลือของมนุษย์กลายพันธุ์ที่แน่นอนว่าไม่เกี่ยวอะไรกับ X-Men (ฮา) 

          Chernobyl Diaries พูดถึงเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนชาวอเมริกันที่เดินทางเข้าไปยังเมือง Pripyat เมืองร้างใกล้ๆกับ Chernobyl ซึ่งในตอนแรกก็ยังเป็นการทัวร์เสี่ยงภัยที่สนุกสนาน เมื่อได้เจอทั้งปลา หมี และหมา(ที่ไม่แน่ใจว่ากลายพันธุ์หรือเพราะหิวจนดุร้ายผิดปกติ O_o) แต่แล้วเมื่อกำลังจะเดินทางกลับ รถเกิดเสีย ทำให้ทั้งหมดต้องติดอยู่ที่ Pripyat และเมื่อกลางคืนมาถึง เรื่องราวที่เคยเป็นแค่เรื่องเล่าก็ได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา เมื่อทั้งหมดถูกตามล่า โดยกลุ่มคนปริศนา แล้วพวกเขาจะสามารถรอดออกมาได้มั้ย ติดตามได้ใน Chernobyl Diaries 

*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง

          ภาพรวม ถึงแม้ตัวหนังจะไม่ได้มีความสดใหม่อะไร แต่ก็ทำได้ไม่ขี้เหร่ในฐานะของหนังสยองขวัญที่เล่นกับฉากตกใจ ย้ำว่าเล่นกับความตกใจอย่างเดียวจริงๆ แต่ก็เหมือนทีมงานจะรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ จุดขายของหนังจึงไม่มีอะไรที่น่าห่วง และถือว่าสอบผ่าน โทนของหนังที่พยายามบิวท์ให้คนดูร่วมลุ้นไปพร้อมๆกับเหตุการณ์ในจอ ที่จะเจอก็ไม่เจอซักที หรือเจอ... แต่เจอหมี... ผมชอบนะ แล้วผมว่ามันรับกับบทสรุปของหนัง ที่... เอาเป็นว่า... สรุปแบบนั้นก็เป็นสิ่งที่รับได้ และดูเป็นเรื่องจริงมากกว่าเรื่องราวต่างๆ  สุดท้ายก็เป็นเรื่องของฉาก production ต่างๆ รวมไปถึงเสื้อผ้า คือผมว่ามันเข้ากัน ยังไงดีล่ะ คือคุณไปเที่ยว มันหนาวก็ใส่เสื้อผ้าหนาๆ คือผมว่ามันไม่จำเป็นที่หนังสยองขวัญต้องมานุ่งน้อยห่มน้อย ให้ปลาปิรันย่ามาคอยตอด (เย้ย !!!) มันไม่จำเป็นต้องเรียกแขกด้วยวิธีนั้นไง 
          
          จุดเด่น อืมมม ผมชอบการเดินเรื่องของหนังนะ แบบไม่ต้องเกริ่นอะไรมาก เอาแค่ให้คนดูรู้ว่า Paul กับ Chris เป็นพี่น้องที่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ เสร็จแล้วก็เข้ามาโชะๆกันใน Pripyat เลย ฉากที่เหล่าตัวเอกหนีตายก็ทำได้น่าลุ้น คือผมรู้สึกเอาใจช่วยอ่ะ แบบ"เฮ้ย ต้องออกไปให้ได้นะ" (ฮ่า) อีกอย่างดราม่าที่แอบหยอดเข้ามา ก็ถือว่าทำได้โอเค ผมชอบความรู้สึกผิดของ Paul และอยากพา Chris ออกจากเมือง อีกฉากหนึ่งก็คือฉากคู่รัก Uri Zoe ที่ Uri ไม่อาจผ่านประตูเข้ามาได้ ก็ถือว่า อื้มมม มันเศร้านะ โดยส่วนตัวแล้วผมว่านักแสดงทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี และมันทำให้หนังดูสนุก ไม่ต้องมานั่งเซ็งว่ามีใครเล่นเยอะเกินหน้าเกินตาใคร แต่สิ่งหนึ่งที่มันเด่นจริงๆ คือ Jesse McCartney สาวมากอ่ะ ฮ่าๆ โดยเฉพาะฉากวีนเป็นอะไรที่แบบ "นี่เล่นเป็นตัวเองใช่มั้ย !!! 

          จุดด้อย เป็นหนังที่ใช้ CG ได้เปลืองมากกก ส่วนตัวผมเสียดายหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปลาปีศาจ(?) อุตส่าห์ปูเรื่อง มีพาไปดูใกล้ๆ แต่ใช้จริงๆไม่ถึงสามวิ ใช้แค่ออกมาข่วนๆ ไม่โหดร้ายสมราคาปลาโดนรังสีเล้ย - -" อีกอย่างที่ผมว่ามันทำให้หนังไม่สุดก็เป็นพวกตัวประหลาดต่างๆในเมือง ที่เอาจริงๆ ไม่เห็นหน้าชัดๆซักที โผล่ออกมาแวบๆ โดยเฉพาะเด็กหญิงที่ยืนหันหลัง... คือหนูออกมาเป็นตัวล่อจริงๆอ่ะ ไม่มีบท ไม่สิ ไม่แม้แต่จะเห็นหน้าเล้ยยยย หรือเพราะไม่อยากให้เดาได้ว่าจริงๆแล้วตัวประหลาดในเมืองเป็นใคร (ฮ่า) ไม่รู้ดิ แต่ผมว่ามันก็เฉยๆอ่ะ ก็ไม่ได้ถือว่าร้ายแรงอะไร แต่... ก็คนมันอยากเห็นอ่ะ !!!  

          บทสรุป ท่ามกลางกระแสของหนังซัมเมอร์ที่ขับเคี่ยวกันโหดร้ายสุดๆ Chernobyl Diaries ถือว่าเป็นหนังเล็กๆที่ทำได้ไม่เลวนักในแง่ของการให้ความบันเทิง และเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่เบื่อหนังซูเปอร์ฮีโร่ และหนังแอนิเมชั่น ที่ดูเหมือนจะเพิ่มปริมาณขึ้นในทุกๆปี และถึงแม้ตัวหนังอาจเทียบไม่ได้กับ Paranormal Activities (ที่มาจากผู้สร้างเดียวกัน) แต่ก็เรียกได้ว่าไม่ทำให้ขายหน้าแต่อย่างใด เป็นอีกหนึ่งหนังซัมเมอร์ที่ดูได้เพลินๆ แต่ที่แน่ๆ แฟนๆของ Jesse McCartney ควรจะไปดูอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ไปอุดหนุนซะหน่อย เผื่อจะมีแรงกลับมาทำเพลงต่อ (ฮา)


BoyRobot




วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Review: The Avengers


The Avengers (B)

          เกริ่นนำ หลังจากที่ Marvel ได้ปล่อยหนังฉายเดี่ยวของเหล่าซูเปอร์ฮีโรมาพอสมควร ทั้ง Iron Man ทั้ง 2 ภาค Thor Captain America และ The Hulk (ถึงแม้จะแป้กทั้ง 2 ภาคก็เหอะ) และจากการปูเรื่องที่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นได้ว่า "วางแผนกันมาเป็นอย่างดี" และแล้วก็คงจะถึงคนทั้งโลกจะได้รู้จักกับหนังรวมซูเปอร์ฮีโร่ที่น่าจะเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของโลกบนแผ่นฟิล์มกับ The Avengers

          The Avengers เปิดตัวมาด้วยแผนร้ายของ Loki ที่ต้องการ Tesseract เพื่อเป็นขุมพลังในการเปิดประตูให้เหล่า Chitaurian เข้ามาบุกโลก Nick Fury ในฐานะของตัวแทนหน่วย SHIELD จึงต้องทำการรวบรวมเหล่าซูเปอร์ฮีโร่เพื่อทำการปกป้องโลกให้ได้ แต่เมื่อเหล่าซูเปอร์ฮีโร่มาเจอกันกลับมาทะเลาะกันเอง แล้วพวกเขาจะสามารถปกป้องโลกจากการรุกรานของเผ่าพันธ์จากต่างดาวได้หรือไม่ ติดตามได้ใน The Avengers

*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง

          ภาพรวม ก่อนอื่นต้องขอบอกเลยว่า ไม่ได้คาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะส่วนตัวไม่ค่อยถูกโฉลกกับหนังแนวนี้เท่าไหร่ (ยกเว้นที่มันสนุกจริงๆ) ตัวหนังถือว่าก็อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้เป็นที่น่าจดจำอะไรมากนัก คือหนังจบแล้วก็จบเลย ตัวบทถือว่าช่วยให้หนังไม่น่าเบื่อได้ดีมาก เพราะตลอด142นาทีของหนัง ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อเลยทั้งๆที่หนังก็ไม่ได้น่าติดตามอะไรขนาดนั้น เอาจริงๆแล้วเหมือนหนังยังไม่สุด คือถ้าเทียบกับหนังซูเปอร์ฮีโรฉายเดี่ยวเรื่องอื่นๆ หรือแม้กระทั่งเทียบกับหนังฉายเดี่ยวของเหล่าคุณๆที่อยู่ใน Avengers ตัวซูเปอร์ฮีโร่มันดูมีอะไรๆมากกว่า คือมันดูมีความเป็นคน (บางคนก็เป็นเทพ) แต่ใน Avengers มันเหมือนว่า "อ่ะ พี่ Nick เค้าขอมา เราก็ไปช่วยๆหน่อย จะได้ win-win ด้วยกัน" ซึ่ง... ไม่รู้ดิ ผมว่ามันทำให้หนังดูเฉยๆมากๆๆๆ ส่วนเรื่องอื่นๆก็ถือว่าทำได้ดีในระดับของหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย Production ดนตรีประกอบ ซึ่งก็ตามที่บอกไป ทำได้ดี แต่ก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ

          จุดเด่น จุดเด่น... อืมมมม ฉากแอ๊คชั่นของหนังทั้งสองฉากใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นฉากบนยานรบหน่วยSHIELD และฉาก Chitaurian บุกเกาะ Manhattan ทั้งสองฉากสนุกมากกกกกก จากฉากแรกสู่ฉากสองมันทำให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละคร คือในฉากยานรบจะเห็นว่า ซูเปอร์ฮีโร่แต่ละตัวต้องมาต่อสู้กันเอง ทั้งๆที่ก็โดนทัพของ Loki โจมตีอยู่ แต่หลังจากความเสียหายเกิดขึ้น ตามที่ Nick Fury ได้พูดไว้ว่าทั้งหมดต้องการแรงผลัก ก็เป็นที่มาของฉากแมนฮัตตันที่ทุกคนร่วมมือกันต่อสู้กับทัพของ Loki ซึ่งเอาจริงๆผมชอบนะ จะบอกยังไงดี มันเหมือนแบบมันทำให้ Avengers มันดูน่าเชื่อถือขึ้นอ่ะ เพราะว่าถ้าจะมาให้เข้าขากันตั้งแต่ทีแรกก็คงไม่ใช่ เพราะแต่ละคนก็มีสไตล์เป็นของตัวเองขนาดนั้น แต่พอมาเจอดราม่าปุ๊บ รักกันปั๊บ อืม... มันก็ดีกว่ารักกันตั้งแต่เห็นหน้าล่ะเนอะ อ่อ เกือบลืม สองตัวขโมยซีนของเรา ทั้ง Pepper Potts และ Hulk ของเรา คนแรก ถึงจะออกมาสั้นๆ แต่งตัวอยู่กับบ้านแต่เสน่ห์มาเต็มจริงๆ ส่วน พี่Hulk คือแย่งไม่แย่งซีนไม่รู้ แต่พี่ออกมานี่ผมนึกว่าพี่เป็นพระเอกอ่ะครับ โดยเฉพาะฉากที่พี่Hulk ทำการสำเร็จโทษ Loki กับฉากที่ Iron Man ร่วงมาจากฟ้าพี่Hulk สุโค่ยจริงๆครับ 

          จุดด้อย เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลาย คือไม่ใช่ว่าแสดงกันไม่ดี ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก คือ ทุกคนยังคงความเป็นตัวเองไว้ได้ แต่อาจจะเป็นเพราะบททำให้ถึงแต่ละคนจะยังเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ต้องซอฟท์ลงไป (หรือจะเก็บไว้ปล่อยของในหนังตัวเองกันครับ) Tony Stark ที่ถึงแม้จะกวนทีน แต่ก็ดูยังเหมือนจะกั๊กๆเอาไว้ อีกคนที่เห็นๆเลยก็คงเป็นเทพเจ้าสายฟ้า Thor ของเรานั่นเอง ใน The Avengers ท่านเทพดูซอฟท์และเรียบร้อยมากกกก หรือว่าเพราะได้บทเรียนจากเทพ Odin เลยกลายเป็นเทพเรียบร้อยเลยครับ เอาจริงๆ ไม่มันส์เลยอ่ะ (ฮ่า) 

          บทสรุป ถึงตัวหนังจะดูไม่สุดในหลายๆเรื่อง แต่ถ้าถามว่าควรจะไปดูมั้ย ผมตอบเต็มเสียงเลยครับ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะอะไรน่ะเหรอ ข้อแรก นานๆเราถึงจะมีหนังรวมซูเปอร์ฮีโร่ที่ใหญ่ขนาดนี้มาซักทีนะครับ ข้อสองผมเชื่อว่าในจำนวน 5 6 คนที่มารวมกันอ่ะ มันต้องมีซักคนแหละ ที่เป็นตัวโปรดของคุณ แล้วถ้าจะรอหนังฉายเดี่ยวของแต่ละคนนี่ก็ Iron Man 3 มาปี 2013 Thor 2 มาปี 2013 แล้วก็ Captain America มา 2014 นู่นนน แล้วทำไมไม่มาดู The Avengers ให้หายคิดถึงพวกเขาก่อนล่ะครับ จริงมั้ย 


BoyRobot




วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

Review: Mirror Mirror


Mirror Mirror (B)

          เกริ่นนำ เชื่อว่าเกือบ 100% ของประชากรโลกนี้คงรู้จักเรื่องราวของ สโนไวท์ กับแม่มดใจร้าย รวมถึงกระจกวิเศษกันเป็นอย่างดี (อาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ว่าเป็นเวอร์ชั่นของใคร) ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของหนังสือนิทาน นิยาย หรือแม้กระทั่งเอนิเมชั่น และภาพยนตร์ ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงคุ้นชินกับภาพของสโนไวท์แสนสวยที่ถูกแม่มดใจร้ายกลั่นแกล้งเพื่อความงามเลิศในปฐพี และได้รับการช่วยเหลือจากคนแคระ แต่แม่มดก็ตามจองล้างจองผลาญเอาแอ็ปเปิ้ลเคลือบยาพิษมาให้อีกรอบ แล้วก็............ สุดท้ายแล้วสโนไวท์กับเจ้าชายก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จบ

          แต่ใน Mirror Mirror นี้ เราจะได้พบกับสโนไวท์ที่ก๋ากั่น เปรี้ยวซ่า ไม่ยอมคน ตามแบบนางเอกละครไทยยุคใหม่ ที่ถึงแม้จะโดนกลั่นแกล้งจากแม่มดร้ายในคราบราชินี แต่ก็กลับมาต่อสู้ได้อย่างกล้าหาญ แต่แล้วจะเป็นอย่างไรต่อล่ะ ฉากเด็ดแอ๊ปเปิ้ลอาบยาพิษจะเป็นแบบไหน ฉากจุมพิตเพื่อคลายมนต์สะกดจะถูกนำเสนอในแบบไหน แล้วคนแคระทั้ง 7 กับเจ้าชายล่ะ จะมีบทบาทอย่างไร ติดตามกันได้ใน Mirror Mirror

*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง

          ภาพรวม จริงๆแล้วต้องบอกว่าตัวหนังให้ความบันเทิงได้ดีมาก คือไม่รู้ว่าผมเส้นตื้นเกินไปหรือเปล่า แต่แค่เสียงพากษ์ของราชินีตอนต้นเรื่องที่ป้าจูใช้เสียงจิกกัด ค่อนขอดสโนไวท์นั่นมันตลกมากๆๆๆๆๆๆ ถึงแม้ว่าการเดินเรื่องจะดูน่าเบื่อในช่วงแรก... เอาเป็นว่าเกือบหลับ แต่พอเครื่องติด ครึ่งหลังนี่มัน... ทำมาให้คนหัวเราะจริงๆ ในส่วนของ CG ที่โผล่ออกมาแทบจะทุกฉาก ก็ดูสบายตาดี แต่ก็ทำได้โอเคไม่มีความแปลกใหม่อะไร ถึงแม้ส่วนตัวจะชอบฉากที่ราชินีเข้าไปในกระจกก็ตาม :) อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของเพลงและดนตรีประกอบ ที่โดยส่วนตัวแล้วหวังว่าจะได้ยินเพลงมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ถือว่าเสียหายอะไร เพราะแค่ I Believe In Love เพลงเดียว ก็ยังคงก้องอยู่ในหูผมมาจนถึงตอนนี้ (น้องหนู Lily เต้น+ร้องได้สุโค่ยมากๆอ่ะ ชอบบบ)

          จุดเด่น คงไม่เอ่ยถึงไม่ได้กับ ราชินี Julia Roberts ที่เล่นได้รั่ว และฮามากกก คือเป็นราชินีที่แบบจริงๆมันต้องใจร้ายไม่ใช่เรอะ แต่นี่แบบเหมือนคนสติไม่ค่อยอยู่กะเนื้อกะตัว เด๋วดีเด๋วร้าย ยิ่งตอนเจอเจ้าชายนี่แบบ โอ๊ยยยย ป้าแกเขินได้น่ารักมากกกก สรุปว่าเอาใจผมไปเลยครับ ฮ่าๆ คนต่อมา สโนไวท์ Lily Collins คือตอนเริ่มเรื่องคิดว่าสโนไวท์จะเป็นแบบติ๋มๆ ไม่กล้าทำอะไร คือแบบมันโดนแม่เลี้ยงกดขี่ข่มเหงนะเว่ย ไม่ให้ออกจากห้องอ่ะ แต่นี่อะไร สโนไวท์แรงมากอ่ะ ฮ่าๆ ทั้งหนีออกจากวัง ไปเป็นโจรป่ากับคนแคระ ออกปล้น แถมฉากจบนี่แบบ โอ้ววววว สโนไวท์ชนะเลิศ เอาไป 10 10 10 แถมเสร็จแล้วยังมีร้องเต้นปิดท้ายอีก สุดยอดดด เจ้าชาย Armie Hammer คนนี้ก็ถือว่าเล่นได้อยู่ในระดับที่เกินความคาดหมาย คือแบบเล่นไมได้ห่วงหล่อเล้ยยย แล้วฉากที่โดนมนตร์ของราชินีกลายเป็นน้องหมานี่แบบ ฮ่าๆ เลียหน้าป้าจูกันเลยทีเดียว ส่วนคนแคระทั้ง 7 แอบทำให้ผมคิดถึงเหล่าโจรใน Tangled ที่ถึงจะรูปร่างอัปลักษณ์ แถมยังเป็นโจรป่าอีก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดี เพราะเรื่องแบบนี้เราดูกันที่ภายนอกไม่ได้ใช่ป่ะครับ (นอกเรื่อง ฮ่าๆ) คนแคระทั้ง 7 เปิดตัวด้วยขาไม้ต่อที่ออกมาได้น่ารักน่าชังมาก แล้วหลายๆฉากที่พวกตัวเล็กๆออกมาก็เรียกเสียงฮาได้ และทุกๆคนเล่นกันเต็มมากกก  อีกเรื่องที่เด่นมาก ก็ต้องเป็นเรื่องเครื่องแต่งกายที่ดูเหมือนทีมเครื่องแต่งกายจะได้ปลดปล่อยกันสุดๆ ทั้งฉากงานเต้นรำต้อนรับเจ้าชาย ที่ชุดน่าจะได้แรงบันดาลใจมากจากสัตว์ต่างๆ หรือเครื่องแต่งกายสีสันแสบตาในงานแต่งงานของราชินี แต่ที่เด็ดสุดๆก็คือชุดของทั้งราชินี และสโนไวท์ แต่ละชุดของราชินีนี่มันจะใหญ่โตอลังการไปไหน ส่วนของสโนไวท์ เชื่อว่าแค่ชุดสโนไวท์แบบประยุกต์ที่ใส่ในฉากปิดเรื่องก็ฆ่าสโนไวท์ทุกคนที่เคยโลดแล่นขยับแข้งขาบนจอได้หมด (และอาจจะรวมถึงสโนไวท์หน้าเดียวที่กำลังจะตามมาเร็วๆนี้) อ่อ อีกเรื่องที่ชอบมากก็คือธีมของเรื่อง เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชินี เมืองที่มีแต่ความยากจน แทนด้วยฤดูหนาว แต่พอราชินีหายไป ยุดแห่งความรุ่งเรือง การเริ่มใหม่ ก็ถูกแทนด้วยฤดูใบไม้ผลิ มันก็โอเคนะ ชอบๆ ส่วนเรื่องของมุกตลกที่ดูจะจัดเต็มมาก ก็ถือว่าทำได้น่าพอใจ ถึงจะมีบางมุกที่มันไม่ขำ แต่โดยรวมนี่ อยากหัวเราะดังๆมากๆๆๆ ถ้าไม่เกรงใจคนข้างๆ ฮ่าๆ

          จุดด้อย อืมมม คงเป็นเรื่องของบทที่ดูเหมือนมันยังดูล้นๆ งงๆ อยู่ หลายๆฉาก หลายๆตัวละครที่ดูเหมือนจะเล่นต่อได้ แต่ไม่เล่น ก็ไม่รู้จะใส่มาทำไม เช่น ตัวไบรตันที่แอบชอบราชินี ส่วนตัวคิดว่าตัวละครนี้ยังมีอะไรๆให้เล่นได้อีก แต่นี่ดูแบบ ใส่มาเพื่อแค่เรียกเสียงฮาในบางฉาก ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป แถมตัวละครก็ดูไม่สมเหตุสมผลอีกด้วย ตอนจบนี่แบบ เอ็งกลับตัวง่ายไปป่ะ - -" แต่ก็ไม่ใช่จุดใหญ่โตอะไรอีกนั่นแหละ

          บทสรุป ตัวหนังบอกว่าเป็นหนังแนวสดใส ดูได้ทั้งครอบครัว ก็ถือว่าหนังตีโจทย์ได้แตกละเอียดมากๆ นักแสดงนำทั้งชุดเลย ไม่ว่าจะเป็นราชินีนางเอกของเรื่อง สโนไวท์ตัวร้าย (คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ ฉากจบมันบอกแบบนี้จริงๆ) เจ้าชาย คนแคระ และนักแสดงสมทบทุกๆคนต่างก็ปล่อยของ ปล่อยฝรมือกันเต็มที่ เหมือนมาแข่งงกันปล่อยมุก เอาเป็นว่า สั้นๆ ง่ายๆ เลยละกัน ไปดู Mirror Mirror เถอะ ปมรับรองว่าคุณจะไม่เสียดายเงินที่เสียไปเลย 


BoyRobot




วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

69th Golden Globe Awards: The Winner List


หลังจากที่ห่างหายจากการอัพบล๊อคไปซะนาน วันนี้กระผมนาย BoyRobot ก็กลับมาแล้ว พร้อมกับอีกหนึ่งงานประกาศความยอดเยี่ยมของสายภาพยนตร์ (และรวมถึงทีวีด้วย) กับงานประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 69 หรือ 69th Golden Globe Awards

ซึ่งในปีนี้พิธีกรยังคงเป็น Ricky Gervais เจ้าเดิมจากปีที่แล้ว ส่วนทางด้านผลรางวัล ก็ถือว่าไม่พลิกโผแต่ก็ยังมีให้ได้ลุ้นกันอยู่ดี... เอาล่ะครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา... และนี่ก็คือรายชื่อผู้ชนะของเวทีลูกโลกทองคำประจำปีนี้ครับ

And the Golden Globe goes to...

TELEVISION CATEGORIES

BEST TELEVISION SERIES, DRAMA
American Horror Story
Boardwalk Empire
Boss 
Game of Thrones
***Homeland***

BEST TELEVISION SERIES, COMEDY
Enlightened
Episodes
Glee
***Modern Family***
New Girl

BEST TV MOVIE OR MINISERIES
Cinema Verite
***Downton Abbey***
The Hour
Mildred Pierce
Too Big to Fail

BEST PERFORMANCE BY AN ACTRESS IN A TELEVISION SERIES, DRAMA
***Claire Danes, Homeland***
Mireille Enos, The Killing
Julianna Margulies, The Good Wife
Madeleine Stowe, Revenge
Callie Thorne, Necessary Roughness

BEST PERFORMANCE BY AN ACTOR IN A TELEVISION SERIES, DRAMA
Steve Buscemi, Boardwalk Empire
Bryan Cranston, Breaking Bad
***Kelsey Grammer, Boss***
Jeremy Irons, The Borgias 
Damian Lewis, Homeland

BEST PERFORMANCE BY AN ACTOR IN A TELEVISION SERIES, COMEDY OR MUSICAL
Alec Baldwin, 30 Rock
David Duchovny, Californication
Johnny Galecki, The Big Bang Theory
Thomas Jane, Hung
***Matt LeBlanc, Episodes***

BEST PERFORMANCE BY AN ACTRESS IN A TELEVISION SERIES, COMEDY OR MUSICAL
***Laura Dern, Enlightened***
Zooey Deschanel, New Girl
Tina Fey, 30 Rock
Laura Linney, The Big C
Amy Poehler, Parks and Recreation

BEST PERFORMANCE BY AN ACTOR IN A MINI-SERIES OR MOTION PICTURE MADE FOR TELEVISION
Hugh Bonneville, Downton Abbey
***Idris Elba, Luther***
William Hurt, Too Big to Fail
Bill Nighy, Page Eight
Dominic West, The Hour

BEST PERFORMANCE BY AN ACTRESS IN A MINI-SERIES OR MOTION PICTURE MADE FOR TELEVISION
Romola Garai, The Hour
Diane Lane, Cinema Verite
Elizabeth McGovern, Downtown Abbey
Emily Watson, Appropriate Adult
***Kate Winslet, Mildred Pierce***

BEST SUPPORTING ACTOR IN A TV SERIES, MINI-SERIES OR MADE-FOR-TV MOVIE
***Peter Dinklage, Game of Thrones***
Paul Giamatti, Too Big To Fail
Guy Pearce, Mildred Pierce 
Tim Robbins, Cinema Verite
Eric Stonestreet, Modern Family

BEST SUPPORTING ACTRESS IN A TV SERIES, MINI-SERIES OR MADE-FOR-TV MOVIE
***Jessica Lange, American Horror Story***
Kelly Macdonald, Boardwalk Empire
Maggie Smith, Downton Abbey
Sofia Vergara, Modern Family
Evan Rachel Wood, Mildred Pierce

MOTION PICTURE CATEGORIES

BEST MOTION PICTURE, DRAMA
***The Descendants***
The Help
Hugo
The Ides of March
Moneyball
War Horse

BEST MOTION PICTURE, MUSICAL OR COMEDY
50/50
***The Artist***
Bridesmaids
Midnight in Paris
My Week with Marilyn

BEST DIRECTOR
Woody Allen, Midnight In Paris
George Clooney, The Ides of March
Michel Hazanavicius, The Artist
Alexander Payne, The Descendants
***Martin Scorsese, Hugo***

BEST ACTOR, DRAMA
***George Clooney, The Descendants***
Leonardo DiCaprio, J Edgar
Michael Fassbender, Shame
Ryan Gosling, The Ides of March
Brad Pitt, Moneyball

BEST ACTRESS, DRAMA
Glenn Close, Albert Nobbs
Viola Davis, The Help
Rooney Mara, The Girl with the Dragon Tattoo
***Meryl Streep, The Iron Lady***
Tilda Swinton, We Need to Talk About Kevin

BEST ACTOR, COMEDY OR MUSICAL
***Jean Dujardin, The Artist***
Brendan Gleeson, The Guard
Joseph Gordon Levitt, 50/50
Ryan Gosling, Crazy Stupid Love
Owen Wilson, Midnight in Paris

BEST ACTRESS, COMEDY OR MUSICAL
Jodie Foster, Carnage
Charlize Theron, Young Adult
Kristen Wiig, Bridesmaids
***Michelle Williams, My Week With Marilyn***
Kate Winslet, Carnage

BEST SUPPORTING ACTOR
Kenneth Branagh, My Week with Marilyn
Albert Brooks, Drive
Jonah Hill, Moneyball
Viggo Mortensen, A Dangerous Method
***Christopher Plummer, Beginners***

BEST SUPPORTING ACTRESS
Berenice Bejo, The Artist
Jessica Chastain , The Help
Janet McTeer, Albert Nobbs
***Octavia Spencer, The Help***
Shailene Woodley, The Descendants

BEST SCREENPLAY
***Midnight in Paris, Woody Allen***
The Ides of March, George Clooney, Grant Heslov, Beau Willimon
The Artist, Michel Hazanavicius
The Descendants, Alexander Payne, Nat Faxon and Jim Rash
Moneyball, Steven Zaillian and Aaron Sorkin

BEST ANIMATED FEATURE
***The Adventures of Tintin***
Arthur Christmas
Cars 2
Puss in Boots
Rango

BEST FOREIGN LANGUAGE FILM
The Flowers of War
In The Land of Blood and Honey
The Kid WIth The Bike
***A Separation***
The Skin I Live In

BEST ORIGINAL SCORE
***The Artist, Ludovic Bource***
W.E., Abel Korzeniowski
The Girl with the Dragon Tattoo, Trent Reznor and Atticus Ross
Hugo, Howard Shore
War Horse, John Williams

BEST ORIGINAL SONG
"Lay Your Head Down," Albert Nobbs
"Hello Hello," Gnomeo and Juliet
"The Living Proof," The Help
"The Keeper," Machine Gun Preacher
***"Masterpiece," W.E. *** 

สุดท้ายนี้ผมก็คงต้องขอกล่าวว่า Congrats to all the winners

จนกว่าจะพบกันใหม่... BoyRobot

:)

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Review: Olly Murs - In Case You Didn't Know


Olly Murs – In Case You Didn’t Know (B+)

                Olly Murs รองชนะเลิศอันดับ 1 จากเวที The X Factor UK Season 6 (ปีนั้น Joe McElderry ได้ที่ 1) ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว Olly จะดูมีภาษีมากกว่าตา Joe หลายเท่านัก ว่ากันว่า Olly ได้เซ็นสัญญาทันทีหลังจากที่ประกวดเสร็จแม้ว่าจะได้ที่ 2 ก็ตาม และเขาก็ไม่ทำให้ค่ายผิดหวัง Singleเปิดตัว “Please Don’t Let Me Go” เปิดตัวที่อันดับ 1 บน UK Singles Chart ทันที (ชนะ Teenage Dream ของ Katy Perry เลยนะเออ) หลังจากที่ประสบความสำเร็จไปกับอัลบั้มแรก Olly Murs ก็พร้อมที่จะพาพวกเราไปสัมผัสกับความสนุกสนาน ความร่าเริงสดใสผ่านบทเพลงของเขากันอีกครั้งกับอัลบั้มอันดับที่สอง “In Case You Didn’t Know”

จุดเด่น
                ภาพลักษณ์ คือภาพลักษณ์ของ Olly Murs เป็นอะไรที่เข้าถึงได้ ไม่ว่าจะผ่านทางเสียงเพลง (Olly เป็น co-writer เกือบทุกเพลงในอัลบั้ม) ใน MV หรือภาพที่เราเห็นตาม Live ต่างๆ ทำให้คนทั่วไปมีความรู้สึกว่า Olly Murs เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เข้าถึงและแตะต้องได้ อีกทั้งเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเพลงของ Olly มันช่างติดหูมากๆ แถมเนื้อเพลงก็น่ารักซะ แล้วยิ่งบวกกับ MV ท่าทาง การแต่งตัว รวมถึงความขี้เล่นของตัวนักร้องเอง โอยยย พอรู้ตัวอีกทีเพลงก็มาวนเวียนอยู่ในหัวแล้ว (ฮ่า)

จุดด้อย
                ภาพรวมของอัลบั้มที่ดูจะไม่ค่อยมีพัฒนาการ ความแตกต่างอะไรจากอัลบั้มแรกมากนัก ทำให้อัลบั้มนี้ดูเหมือนเป็น Olly Murs Part 2 อีกทั้งเนื้อหาของเพลงที่... โอเค ถึงแม้ว่ามันจะน่ารัก เข้าถึงง่าย แต่แบบถ้าเอาเพลงเนื้อหาประมาณนี้มาให้เด็กๆร้องมันน่าจะเข้ากว่านะ แต่เอาจริงๆที่พิมพ์ๆมามันก็ไม่เชิงจะเป็นจุดด้อยซะทีเดียว เอาเป็นว่าเป็นการบ้านไว้สำหรับปรับปรุงอัลบั้มต่อไปละกันเนอะ

Track by track
                เปิดอัลบั้มด้วย Heart Skips A Beat (Ft. Rizzle Kick) และเป็นซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มนี้ด้วย ตัวเพลงเป็นการยืนพื้นจอง Pop แล้วใส่ความเป็น Reggae และ Ska เข้ามาเหมือนที่เราได้เห็นกันไปในอัลบั้มแรก และดูเหมือนจะเป็นแนวถนัดของตา Olly เขาล่ะ!!! ผลลัพธ์ก็คือเพลงนี้กลายเป็นเพลงสนุกๆที่เหมาะกับการเปิดในช่วงซัมเมอร์ เพราะถ้าเพลงไม่เวิร์คคงไม่ debut อันดับ 1 บน UK Singles Chart จริงมั้ย ฮ่า (HSAB เป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่ Olly ไม่ได้มีส่วนรวมในการแต่ง) ต่อกันด้วย Oh My Goodness ตัวเพลงพูดถึงความลังเลว่าจะเดินหน้าต่อหรือชะลอความเร็วลง ซึ่งใครๆก็คงมีความรู้สึกแบบนี้เมื่อเจอคนที่ถูกใจใช่มั้ยครับ เพลงนี้ถือว่าเป็นเพลงที่ฟังแล้วได้ขยับ+ร้องตามกันพอหอมปากหอมคอ เอ๊ะหรือจะใช้ร้องให้ใครฟังดีนะ ต่อกันที่ซิงเกิ้ลที่ 2 Dance With Me Tonight จริงๆอยากให้เพลงนี้อยู่เป็นแทร็คแรกของอัลบั้มนะ ไอ่ตอนขึ้นต้นมันเหมาะกับการเปิดตัวมากๆ ทำให้ได้ฟีลเหมือนเข้าไปอยู่ในโรงละครแล้ว Olly ขึ้นมาร้องเพลงให้ฟัง (อารมณ์ประมาณ Live ที่ The X Factoe UK นั่นแหละ) ส่วนตัวแล้วผมชอบเสียงทรัมเป็ตในเพลงนี้นะ มันยิ่งทำให้เพลงดูสนุก และทะเล้นมากๆ I’ve Tried Everything เริ่มต้นมาเหมือนจะเป็นบัลลาด แต่ทำไปทำมากลายเป็นเพลงสนุกๆอีกหนึ่งเพลง (แหม่ จะสดใสกันไปถึงไหน) ตัวเพลงยังคงเป็น Pop-Reggae ซึ่งคงต้องบอกว่าดนตรีแบบนี้มันเข้ากับเสียงของ Olly มากๆ แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่าเพลงนี้มันสู้ 3 เพลงแรกไม่ได้อ่ะ บัลลาดเพลงแรกในอัลบั้ม This Song Is About You เพลงนี้พาเราไปรู้จักกับด้านมืดของ Olly ใครจะคิดว่าผู้ชายขี้เล่นพออยู่ในโหมดแค้น เจ็บปวดจะอารมณ์ร้ายได้ถึงขนาดนี้ ก็ถึงขนาดเขียนเพลงด่าเลยอ่ะ... น่ากลัวเกิ๊น แถมเนื้อเพลงยังเชือดเฉือนซะ เศร้ากันต่อกับtitle track ของอัลบั้ม In Case You Didn’t Know (ต้องบอกอีกมั้ยว่า)ตัวเพลงเป็น Pop-Reggae-Ska ถึงแม้จะเป็นเพลงชวนโยก แต่เนื้อหาของเพลงกลับเป็นการตัดพ้อคนรัก ทำไมจะต้องจากกันไป... แต่ด้วยความที่ตัวเพลงมันน่ารักซะขนาดนี้... บอกตรงๆว่าไม่อินกับเพลงอ่ะ (ฮ่าๆ) ต่อกันที่ Tell The World เพลงน่ารักๆที่พูดถึงความรักของคนสองคนที่ต่อให้จะเลวร้ายขนาดไหนขอแค่เพียงฉันมีเธออยู่ข้างๆฉันก็โอเคแล้ว จนฉันอยากประกาศความรู้สึกที่มีต่อเธอให้โลกได้รับรู้ ง่ายๆสั้นๆเลยนะ... เอาจริงๆเพลงมันน่ารักมาก!!! กลับมาที่เพลงเนื้อหาเครียดๆกับ I’m OK คือเอาจริงๆส่วนตัวไม่อยากเห็นเพลงเครียดๆจากตานี่เลย เพราะว่าถ้าไม่ใช่บัลลาดแบบ TSIFY อ่ะ มันไม่เศร้าเลยนะ เพลงนี้ก็เหมือนกัน ซึ่งถ้ามองว่าอยากให้เพลงนี้เป็นเพลง Feel good แบบเออ ถ้ามันถึงเวลาฉันก็ต้องกลับไปมีชีวิตของฉัน เป็นตัวเองอีกครั้ง เพลงนี้มันก็โอเคล่ะ Just Smile บทเพลงสำหรับเอาไว้ง้อคนรัก ตัวเพลงมันเหมาะใช้ประกอบหนังมากๆ อารมณ์แบบพระ-นางทะเลาะกันแล้วเพลงขึ้น จากนั้นก็คืนดีกันอ่ะ (ฮ่าๆ) ก็ในเมื่อ... ความรักของเรามันยังไม่จบ แค่เธอยิ้มให้ฉัน เราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว On My Cloud เพราะเพลงนี้นี่แหละเลยไม่ตัดเกรด A ไม่รู้อ่ะ ไม่ชอบ เสียง Olly ในเพลงนี้แปลกๆ อะไรก็ไม่รู้ เพลงแรกและเพลงเดียวในอัลบั้มที่กด Skip ดีนะที่เพลงแค่ 2 นาทีครึ่ง ถ้ามากกว่านี้คงแย่กว่านี้อ่ะ I Don’t Love You Too I know you, you know me ต่างคนต่างก็รู้จักกันและกันอย่างดี ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้อะไร แล้วจะทะเลาะกันทำไม... จริงมั้ย??? Anywhere Else เพลงน่ารักๆมาอีกแล้ว (นี่สรุปมันจะน่ารักทั้งอัลบั้มเลยมั้ย) ฟังแล้วมีความรู้สึกเหมือนนอนดูดาวอยู่กับคนรัก ก็ในเมื่อมีเธออยู่ตรงหน้าฉันแล้ว ฉันก็ไม่ต้องการไปที่ไหนอีกแล้ว (น่ารักเนอะ) ปิดอัลบั้มด้วย I Need You Now บัลลาดสวยๆที่เปิดโอกาสให้ Olly โชว์เสียงตัวเองอย่างเต็มที่ ส่วนตัวแล้วผมชอบบัลลาดแบบนี้นะ ตัวเพลงพูดถึงถ้าจะบอกว่าความเพ้อของ Olly ก็คงไม่ผิดอะไร คือไปตกหลุมรักเขาแต่ก็ไม่ได้สานต่อ เลยต้องมานั่งคิดไปเองว่าถ้าเราได้อยู่ด้วยกันจะเป็นอย่างไร...

สรุป
                ส่วนตัวแล้ว In Case You Didn't Know เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ชอบมากในปี 2011คืออีกหนึ่งอัลบั้มที่สามารถฟังได้เรื่อยๆ หรือหยิบมาฟังเวลาเครียดๆแล้วร้องตามก็โอเคนะ ด้วยเนื้อหา และแนวเพลงที่ไม่เครียดออกจะไปในแนวสนุกสนานซะด้วยซ้ำ และสำหรับอัลบั้มนี้เหมือน Olly Murs จะหาแนวทางของตัวเองเจอแล้ว ทั้งอัลบั้มสามารถฟังได้อย่างลื่นไหล ถึงแม้จะมีบางแทร็คที่ยังดูขาดๆเกินๆอยู่ แต่เชื่อว่าอัลบั้มต่อๆไปน่าจะมีพัฒนาการได้มากกว่านี้ 




BoyRobot


วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

Review: Jennifer Lopez - LOVE?



Jennifer Lopez – LOVE? (B)

           ถ้าจะพูดถึงแวดวง Hollywood ก็คงมีไม่กี่คนนักที่ทำได้ดีทั้งด้านการแสดง และการร้องเพลง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คงเป็น Jennifer Lopez คนทั้งโลกได้รู้จักกับเธอครั้งแรกในฐานะนักร้องต้องย้อนกลับไปในปี 1999 กับซิงเกิลเปิดตัว If You Had My Love กว่าสิบปีที่ J.Lo ได้เดินทางมาบนเส้นทางสายดนตรีที่มีขวากหนามมากมาย ตั้งแต่ Studio Album ชุดแรก “On The 6” จนกระทั่งล่าสุดกับ Studio Album ลำดับที่ 7 ภายใต้สังกัดใหม่ Island Def Jam และวันนี้ J.Lo ก็กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มที่อาจพูดได้ว่าทำให้เราได้ใกล้ชิดกับตัวตนของเธอมากที่สุด... LOVE?

           จุดเด่น เนื้อหาอัลบั้มที่มีความรักเป็นธีมใหญ่ ทำให้เนื้อหาแต่ละเพลงเข้าถึงง่ายมาก และด้วยความที่เนื้อหาเข้าถึงง่ายทำให้หยิบมาฟังได้ไม่รู้จักเบื่อ (เชื่อเถอะวันนี้คุณเหงาคุณฟังเพลงนี้ แต่พอมีความรักคุณก็ไปฟังเพลงต่อไปได้ เห็นมั้ยฟังได้ไม่ว่าอารมณ์แบบไหน) นอกจากนี้ด้วยการที่ J.Lo เลือกที่จะเอา Pop, R’n’B มายืนพื้น และเหยาะกลิ่น Latin ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำได้ดีเสมอมาเข้าไปร่วมด้วย ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธว่า J.Lo เป็นมือวางอันดับต้นๆจริงๆที่ทำเพลงแนวนี้ได้ถึงมากๆ

           จุดด้อย มีใครจำได้มั้ยว่าอัลบั้มก่อนหน้า LOVE? คืออะไร... อย่าตอบว่า This Is Me… Then นะครับ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากที่ล้มคว่ำไปกับ Rebirth และ Brave หลายๆคนคงลืมเธอไปแล้ว จะเหลือซักกี่คนที่ยังจำคุณนาย J.Lo เดินนวยนาดตากหิมะใน MV All I Have หรือ ความรักบันลือโลก Bennifer แน่นอนคนเขาลืมกันไปหมดแล้ว แล้วพอกลับมาคราวนี้ J.Lo มีอะไรมาขาย... Judge ใน American Idols? หรือจะเป็นภาพลักษณ์คุณแม่ลูกแฝด? ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงอยากได้ J.Lo ที่มีมาดคุณนาย (เอาง่ายๆเหมือนแบบชุดทองใน MV On The Floor นั่นแหละ) กลับมาอีกครั้ง เพราะถึงแม้ผู้คนจะหมั่นไส้กับลุคนั้น แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่ามันคือลุคที่เหมาะกับ J.Lo จริงๆ

Track by track
             On The Floor (Ft. Pitbull) จากที่ลองปล่อย Louboutins แล้วผลตอบรับไม่เวิร์กแถมยังส่งผลให้ J.Lo ต้องออกจาก Sony และย้ายค่ายมาที่ Def Jam ขนเพลงมาทำกับค่ายใหม่และหวยก็มาออกที่เพลงนี้ ซิงเกิลเปิดตัวที่สามารถขึ้นไปได้ถึง #3 Billboard Hot 100 หลังจากที่เธอไม่ได้มีเพลงฮิตมาเกือบ 10 ปี... All I Have(#1-2003) ตัวเพลงยืมแซมเปิ้ลเพลง Lambada ทำให้ตัวเพลงติดหูมากกกก On The Floor ก็คงเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ผมได้บอกไปในตอนต้นแล้วว่า เพลงกลิ่นอายละตินกับ J.Lo เป็นของคู่กันจริงๆ ต่อกันกับ Good Hit ส่วนตัวไม่ชอบเพลงนี้เอาซะเลย และรู้สึกดีที่ J.Lo เลือกที่จะไม่ตัดเพลงนี้ (แม้ว่าส่วนตัวตัวจะเสียดายเอ็มวีที่ถ่ายไว้แล้วก็ตาม) ไม่เข้าใจว่าทำไมJ.Loต้องร้องแบบนี้ด้วย เสียงJ.Loในเพลงนี้ดูบีบๆจนไม่ใช่J.Loไปเลย หรืออยากจะเปลี่ยนแนวไปร้องเพลงแบบ Britney หึหึ ต่อกันด้วยซิงเกิลที่สอง I’m Into You (Ft. Lil’ Wayne) ยังคงเป็น Pop RnB ที่มีกลิ่นความเป็นละติน เนื้อเพลงเป็นการพรรณนาถึงคนรัก เสียงJ.Loเหมาะกับการร้องเพลงแนวนี้จริงๆ ฟังแล้วรู้สึกล่องลอย ชวนให้ขยับขาเล็กๆ เหมือนกำลังนั่งมองตากับคนรักพร้อมจิบไวน์ไปพร้อมๆกัน เอ๊ะ หรือจะเต้นรำกลางแสงจันทร์ดี (What Is) LOVE? Title track ของอัลบั้ม ตัวเพลงเคยใช้เป็นเพลงประกอบหนัง The Back Up Plan ก่อนที่จะเอามาทำใหม่(ตรงไหน?) ตัวเพลงเป็น Pop ธรรมดาที่ธรรมดาจริงๆ แต่ความธรรมดานี้เองที่ฟังไม่กี่รอบก็เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวแล้ว ส่วนเนื้อเพลงนี่... ผมเชื่อว่าคนโสดที่ยังรอคอยคนที่ใช่สามารถอินกับเพลงนี้ได้อย่างแน่นอนครับ ซึ่งแน่นอนว่าเพลงนี้ก็สามารถทำหน้าที่ของ Title Track ได้เป็นอย่างดี หลังจากที่รอคอยคนที่ใช่กับเพลงที่แล้วมาแล้ว เพลงต่อไป Run The World กล่าวถึงความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างคนสองคน อีกหนึ่งเพลงน่ารักๆที่เข้ากับภาพรวมของอัลบั้มได้เป็นอย่างดี กลับมาขยับแข้งขากันต่อกับ Papi เจอLatin pop อีกแล้ว เพลงนี้ใครได้ยินแล้วไม่ขยับตัวให้มาตบหัวผมได้เลย เพลงเหมือนเป็นภาคต่อของ On The Floor สามารถเปิดในปาร์ตี้ได้โดยไม่ต้องมิกซ์อะไรทั้งนั้น ด้วยตัวเพลงที่มันชวนแดนซ์อยู่แล้ว... เพลงเค้าก็บอกอยู่ว่าให้ Move your body... Dance for your papi แล้วเราจะรออะไรกันอยู่ล่ะครับ พักหายใจกันกับ Until It Beats No More เริ่มเพลงด้วยเสียงเตือนหัวใจหยุดเต้น ตามด้วยเสียงหัวใจที่เต้นอีกครั้ง... บัลลาดเนื้อหาซึ้งๆพูดถึงคนที่เคยมีแผลจากความรัก จนวันนึงได้มาพบกับคนที่ใช่ และได้ยอมเปิดรับคนคนนั้นเข้ามาในชีวิต... ยกหัวใจให้ไปจนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย ต่อกันด้วยเพลงที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพลงที่พาเราไปรู้จักกับชีวิตรักของJ.Loจริงๆกับ One Love บทเพลงที่พูดถึงความรักที่ไม่สมหวังของเธอ (ถึงตอนนี้ก็เป็นสี่ครั้งแล้ว) แต่เธอก็ยังคงเฝ้ารอคนที่เป็น One Love ของเธอจริงๆ ส่วนตัวแล้วชอบเพลงนี้กับเพลงก่อนหน้ามาก เศร้ากันมามากพอละ ไปแดนซ์กับ Invading My Mind เพลงที่ได้ Lady Gaga มาร่วมโปรดิวซ์ ตัวเพลงมีกลิ่นของ Lady Gaga ในอัลบั้มแรกๆ แต่พอเสียงJ.Lo มาเท่านั้นแหละ มันคือเพลงของเธอจริงๆ แต่ก็นะ เพลงแบบนี้ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือน่าจดจำ ได้แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ต่อกันกับ Villian เสียงกระซิบกระซาบทำให้แอบคิดถึง Kylie ขึ้นมาตงิดๆ ส่วนตัวคิดว่าเพลงมันเนือยๆเอื่อยๆเกินจนเพลงมันดูมีแค่ระนาบเดียวไปหมด ไม่มีอะไรที่เด่นพอให้จดจำเลย Starting Over เพลงจังหวะชิลล์ๆ ชวนโยกตัวนิดๆ แต่เนื้อหาเพลงกลับไม่ชิลล์ตามจังหวะ ตัวเพลงว่าด้วยความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ถึงแม้ว่าอีกคนหนึ่งจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ทุกวันนี้ฉันก็ยังคงรักเธออยู่ และก็ไม่อยากให้เราต้องเลิกรา Hypnotico เพลงปิดอัลบั้มของ Standard Edition มาอีกแล้วเพลงแดนซ์ ส่วนตัวคิดว่าเพลงแดนซ์กับ J.Lo เป้นอะไรที่แบกกันไม่ออกจริงๆ ไม่ว่าเพลงจะธรรมดา ไม่มีลูกเล่นอะไร แต่พอมาอยู่ในมือ J.Lo เพลงธรรมดาๆเพลงนั้นก็กลายเป็นเพลงที่มีอะไรๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ (ลองให้คนอื่นร้องเพลงนี้สิ ได้เท่า J.Lo ป่ะล่ะ) Everybody’s Girl เพลงแรกสำหรับ Deluxe Edition introเพลงทำให้รู้สึกเหมือนเป็นดาราที่กำลังอยู่ท่ามกลางแสงแฟลช นักข่าว ซึ่งก็เหมาะกับเนื้อหาของเพลงดี ที่พูดถึงคนคนนึงที่ต้องอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกๆคนตลอดเวลา แล้วคุณจะยังรักเธออยู่มั้ย Charge Me Up ไม่ชอบชื่อเพลงนี้เลยให้ตายเหอะ เลยพาลไม่ชอบเพลงไปด้วย เพลงแดนซ์ที่เหมือนทำมาไม่สุด เหมือนยังกั๊กๆอะไรไว้อยู่ หรืออาจจะให้คนฟังเตรียมตัว Warm down แล้วไปนั่งชิลล์กับ Take Care คุ้นๆมั้ยเพลงนี้ แซมเปิ้ลจาก Rude Boy ตัวเพลงน่ารักๆ ร้องรัวๆ แถมร้องซ้ำๆอยู่นั่นล่ะ พอฟังไปฟังมาก็มาวนเวียนอยู่ในหัว แถมร้องตามได้อีกตังหาก แหม่ แยบยลจริงๆ ปิดท้ายกันด้วย Ven A Bailar (On The Floor Spanish Ver.) ขออนุญาตไม่พูดถึงนะครับ เพราะคงพูดเหมือนกับที่รีวิว Track แรกไป (ฮาาา)
         
           สรุป
LOVE? อาจไม่ใช่อัลบั้มที่ดีที่สุดจากผู้หญิงที่ชื่อ Jennifer Lopez แต่ก็เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่คอเพลงป๊อป... ไม่สิคอเพลงสากลควรจะมีไว้ในครอบครอง ไม่ใช่เพราะความเป็น Masterpiece แต่เป็นเพราะความเข้าถึงง่ายของเนื้อหาที่โดยรวมก็พูดถึงความรัก เพราะบางทีเวลาที่เราฟังเพลงที่มันตรงกับความรู้สึกของเราจริงๆ มันก็อาจทำให้เราเสียน้ำตาได้นะครับ...

           สุดท้ายนี้ แม้ว่ารีวิวนี้อาจจะไม่ใช่รีวิวที่ดีอะไรมากมายนัก แต่ผมขอมอบรีวิวอัลบั้ม
LOVE? ให้กับทุกๆหัวใจที่มีรักนะครับ ไม่ว่ารักของคุณจะสมหวัง หรือไม่ก็ตาม เพราะอย่างน้อยคุณก็ได้รู้จักกับ "ความรัก"... To you guys... LOVE?R




 BoyRobot


Review: อุโมงค์ผาเมือง




อุโมงค์ผาเมือง (C+)

เกริ่นนำ ในวาระการเฉลิมฉลอง 100 ปี ชาตกาล หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และครบรอบ 40 ปี สหมงคลฟิล์ม ซึ่งทั้งสองวาระได้เวียนมาครบรอบในปีนี้ ประกอบกับผลตอบรับในแง่บวกทั้งเวทีรางวัล และรายได้ หม่อมน้อย หรือหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุลได้กลับมาอีกครั้งกับผลงานลำดับที่ 10... อุโมงค์ผาเมือง

โดย อุโมงค์ผาเมือง เป็นการดัดแปลงจากบทละครของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เรื่อง “ราโชมอน” ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ Ryunosuke Akutagawa อีกต่อหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวเดียวกับที่ Akira Kurosawa ได้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง "ราโชมอน" เมื่อปี พ.ศ. 2493 โดยอุโมงค์ผาเมือง เล่าถึงคดีฆาตกรรมขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) โดยมีผู้ต้องสงสัยเป็นโจรป่าสิงห์คำ (ดอม เหตระกูล) แต่ทั้งขุนโจร แม่หญิงคำแก้ว (เฌอมาลย์ บุญศักดิ์) และขุนศึก(ผ่านคนทรง) ก็ได้ให้การว่าตนเองเป็นผู้ปลิดชีพขุนศึกทั้งสิ้น ซึ่งจากคำให้การนี้เองที่ทำให้ศรัทธาของพระหนุ่ม (มาริโอ้ เมาเร่อ) เกิดความสั่นคลอน จนพระหนุ่มอยากจะลาสิกขา และระหว่างทางที่พระหนุ่มออกธุดงค์ก่อนลาสิกขา พระหนุ่มได้พบกับคนตัดฟืน (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) และสัปเหร่อ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ในอุโมงค์ผาเมือง... ที่ซึ่งความจริงทุกอย่างจะถูกเปิดเผย

*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง

ภาพรวม ตัวหนังเปิดตัวมาด้วยการเล่าพื้นเพของตัวพระหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะเป็นการเล่าที่ให้น้ำหนัก และเน้นให้พระหนุ่มเป็นตัวละครเอกของเรื่องนี้ การเล่าอดีตของพระหนุ่มทำให้เราเห็นว่าทำไมพระหนุ่มจึงตัดสินใจออกบวช (หม่อมน้อยพาผู้ชมไปดูการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และรวมถึงกิเลสในรูปแบบต่างๆ) และตัดมาที่ปัจจุบันในยามที่ศรัทธาของพระหนุ่มเกิดความสั่นคลอนอันเป็นผลมาจากคดีฆาตกรรมที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ซึ่งถือว่าในส่วนนี้หม่อมน้อยได้คะแนนเต็ม ต่อไปเป็นเรื่องเสื้อผ้า โปรดักชั่น ฉากต่างๆ รวมถึงการถ่ายภาพที่หม่อมน้อยยังคงทำได้ดีมาก แต่ดูจะด้อยกว่า ชั่วฟ้าดินสลาย (ส่วนตัวผมชอบการถ่ายภาพแบบมุมกว้างๆนะ สวยดี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ Costume ผมมีความรู้สึกว่าชุดสวยมาก แต่มันดูขัดตาซึ่งก็ไม่รู้ว่าเหมือนน้อยตั้งใจเกินไปหรือเปล่าทำให้งานออกมาดูแล้วขัดตาแปลกๆ

จุดเด่น สิ่งแรกเลยคือ การแสดงของนักแสดงทุกท่าน เหมือนทุกคนจะปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ในทุกๆฉากๆ โดยเฉพาะฉากปะทะคารมระหว่างแม่หญิง ขุนศึก และโจรป่าในฉากสุดท้ายผมว่าทั้งสามคนแสดงถึง และผมรู้สึกได้ว่าแต่ละคนรู้สึกยังไงกับการที่ต้องโกหกในศาล (เพราะความจริงที่มันน่าอาย และไม่ว่าใครๆ ก็อยากดูดีกันทั้งนั้น) อีกสามท่านที่ต้องพูดถึงคือ คนตัดฟืน พระหนุ่ม ส่วนตัวบอกได้เลยว่าไม่เคยคิดว่าสองท่านนี้จะแสดงได้นิ่งมาก และดูน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวมาริโอ้เอง ที่แสดงได้นิ่งมาก (เอ๊ะ หรือนี่คือธรรมชาติอยู่แล้ว ฮา) ส่วนตัวแล้วผมประทับใจตัวสัปเหร่อมากที่สุด เพราะนอกจากที่จะเป็นตัวแทนของคนปกติที่มีทั้งสีขาวและสีดำอยู่ในตัวแล้ว สัปเหร่อยังเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ถูกตัดสินเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก แต่ก็อย่างที่บอกในเมื่อทุกคนต่างก็ปล่อยพลังกันอย่างเต็มที่ทำให้หนังเรื่องหนึ่งไม่สามารถเอาอยู่ เหมือนกับเวลาที่มีคนใส่เสื้อสีแดง กางเกงสีเขียว รองเท้าสีเหลือง ต่อให้ของสามชิ้นนี้สวยงามแค่ไหน แต่พอมาอยู่รวมกันก็ดูล้นๆเกินๆอยู่ดี (แถม ฉากเปิดเผยความจริง ตัวละครทั้งสาม ป่วงได้ใจผมมากกก) แถมอีกนิดคุณพลอยทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่ผมว่าเธอเหมาะกับบทผู้หญิงแบบยุพดีมากกว่าบทผู้หญิงที่ถูกกระทำ อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องขอชมคือ ซาวนด์ ไม่ว่าจะเป็นScoreต่างๆ โดยเฉพาะบทสรรเสริญพระพุทธคุณในตอนต้นเรื่อง ผมว่าแค่บทนี้ก็คลุมธีมของหนังได้ทั้งเรื่องแล้ว (จะว่าไปเพลงของชั่วฟ้าดินสลายก็เพราะมากกกเหมือนกันนะ) จุดสุดท้ายที่ผมชอบก็คือการที่หนังไม่ได้บอกเรามาโต้งๆว่าอยากให้เราได้อะไรจากหนัง แต่เป็นการสอนเราผ่านเหตุผลในการโกหกของตัวละครแต่ละตัว (แม้ว่าสัปเหร่อจะแอบใบ้ๆให้ก็ตาม) ผมว่ามันดีกว่าให้พระหนุ่มมานั่งสรุปให้ฟังตอนท้ายนะ

จุดด้อย นักแสดงที่เยอะเกินไปทำให้ดูเหมือนยังใช้งานนักแสดงไม่คุ้ม ไม่ว่าจะเป็นพระที่รับบทโดยคุณชาย ชาตโยดม หรือคุณรัดเกล้าที่รับบทเป็นคนทรง รวมถึงคุณธัญญา คุณดารณีนุช ที่ผมคิดว่ายังสามารถใช้งาน หรือแสดงฝีมือได้มากกว่านี้ การดำเนินเรื่อง อาจจะด้วยเวลาที่จำกัดทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าการดำเนินเรื่องของหนังดูจะรวบรัดเกินไปซักหน่อยมั้ย โดยเฉพาะฉากที่ความจริงถูกเปิดเผยซึ่งถือเป็นฉากไคล์แมกซ์ของเรื่องผมมีความรู้สึกว่าฉากนั้นถ้ามีการย้อนความถึงเหตุผลของตัวละครแต่ละตัวมากกว่านี้ ฉากนั้นจะเป็นฉากที่น่าจดจำมากกว่าฉากตลกโปกฮาแบบที่ปรากฏอยู่ในหนัง (หรือหม่อมน้อยอาจจะใส่ฉากนั้นมาใน Director’s Cut กันนะ) นอกจากนี้ถ้ามีการพูดถึงตัวละครสัปเหร่อ และคนตัดฟืนมากกว่านี้ว่าทำไมสัปเหร่อถึงมีมุมมองต่อชีวิตแบบนั้น ส่วนตัวคนตัดฟืนผมว่าตัวละครนี้ไม่มีเหตุผลรองรับว่าทำไมเขาถึงต้องโกหก ถ้าจะบอกว่าเพราะเอาดาบไปเลยไม่กล้าเล่าความจริง ผมว่ามันก็ดูแปลกๆไปมั้ยอ่ะ สุดท้ายแอบติดใจบทอยู่นิดนึง ผมว่าตัวบทดูเหมือนจะยัดเยียดคำพูด คำสอนต่างๆจนดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดฟังไม่รู้เรื่องเพียงแค่มันทำให้ตัวละครแต่ละตัวดูไม่เป็นคนจริงๆเท่านั้นเอง

สรุป ถ้าใครต้องการความละเมียดละมัยแบบ ชั่วฟ้าดินสลาย ก็คงต้องผิดหวัง แต่ อุโมงค์ผาเมืองก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งงานภาพยนตร์ที่มีความประณีตที่อาจจะมีรสชาติที่จัดจ้านกว่า ชั่วฟ้าดินสลาย แต่แน่นอนครับอุโมงค์ผาเมืองก็ยังคงเป็นหนังที่ให้อะไรๆกับคนดูได้เช่นเดียวกัน (และแน่นอนว่าเราคงได้พบกับหนังเรื่องนี้อีกครั้งในเวทีรางวัลต่างๆ อย่างน้อยก็เป็นในสาขาด้านเทคนิคต่าง) สุดท้ายนี้เชื่อผมเถอะครับ นานๆคุณจะเจอหนังไทยที่ควรค่าให้เสียเงินตีตั๋วเข้าไปดูในโรง ช่วยกันอุดหนุนหนังไทยดีๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้คนทำหนังนะครับ



BoyRobot