วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Review: Beyonce - 4


Beyonce - 4 (B)

                อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่ย่างเข้าปี 2011 วงการเพลงได้ร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเพราะบรรดาเหล่าตัวแม่ทั้งหลายได้กลับเข้ามาสู้รบในสังเวียนอีกครั้งทั้งเจ้าหญิงเพลงพ็อพ Britney Spears ที่ส่งสตูดิโอ อัลบั้มลำดับที่ 7 Femme Fatale ดาวรุ่งดวงใหม่ Lady GaGa กับสตูดิโอ อัลบั้มลำดับที่ 2 Born This Way หรือจะเป็นดิว่าที่ตกค้างมาจากปีที่แล้วทั้ง Rihanna กับ Loud Katy Perry กับอัลบั้มที่ตัดซิงเกิ้ลโปรโมทกันข้ามปี Teenage Dream หรือจะเป็นสาวอวบแต่หน้าสวย น้ำเสียงบาดอารมณ์อย่าง Adele กับอัลบั้ม 21 และแล้วก็ถึงคิวของอีกหนึ่งดิว่า Beyonce ที่ขอเข้าสู่สมรภูมิ โดยส่งสตูดิโอ อัลบั้มลำดับที่ 4 ที่ชื่อง่ายๆว่า “4

                จุดเด่น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Beyonce เป็นคนที่มีน้ำเสียงที่เพราะมาก และเวลาที่เธอร้องบัลลาด เธอก็จะสื่ออารมณ์ของเพลงนั้นๆออกมาได้เป็นอย่างดี ในอัลบั้มนี้จึงเหมือนเป็นการดึงศักยภาพในแง่ของการใช้เสียงของเธอออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ (สังเกตได้จากมีบัลลาดกว่าครึ่งของเพลงทั้งหมด หรือจะทำมาหวังแกรมมี่ก็ไม่รู้แน่ได้) นอกจากการที่เธอยังคงคุม Theme ของอัลบั้มไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากการที่เธอมีส่วนร่วมทั้งในส่วนของการเขียนแพลง และการโปรดิวซ์ ทำให้แน่นอนว่าในอัลบั้มนี้แฟนๆยังคงจะได้พบกับ Beyonce ที่ตนเองคุ้นเคยโดยที่ไม่ถูกบรรดาโปรดิวเซอร์ที่เธอเรียกเข้ามาช่วยงานบดบังความเป็นตัวเองไปอย่างแน่นอน

                จุดด้อย การเรียงแทร็ค และการเลือกแทร็คลงอัลบั้ม ตลอด 12 เพลง (ไม่รวมรีมิกซ์ และโบนัสแทร็ค) คุณจะได้พบกับกองทัพเพลงบัลลาดกว่าค่อนอัลบั้ม) ทำให้ถ้าฟังตอนเหนื่อยๆเพลียๆ อาจจะหลับไปเลยก็ได้ (เพลงที่เร็วที่สุดก็ Run The World (Girls) นั่นแหละ แถมอยู่เพลงสุดท้ายด้วย ปลุกให้ตื่นพอดี) นับว่าถ้าไม่ได้รักกันจริงๆนี่คงถอยตั้งแต่ฟังสามเพลงแรกจบแล้วก็เป็นได้ แถมบัลลาดที่ยัดๆลงมาในอัลบั้มเนี่ย บางเพลงมันเทียบไม่ได้กับเพลงใน I Am เลยนะน่ะ

Track By Track
                เปิดอัลบั้มด้วย 1+1 บัลลาดกล่าวถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของคนสองคน ที่ไม่จำเป็นต้องมีปัจจัยอะไรมากมาย ขอเพียงแค่เรารักกัน และมีกันและกันก็พอแล้ว (ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกใน American Idol แล้วรู้สึกว่า “เพลงอะไรเนี่ย ฟังแล้วปวดหัวมาก” แต่พอฟังแหลายๆรอบ เพลงมันโอเคนะ ฟังแล้วอิ่มอ่ะ) ต่อกันด้วย I Care บทเพลงที่เหมือนเป็นการตัดพ้อต่อว่าคู่รัก ในเวลาที่ฉันต้องการเธอ แต่เธอกลับไม่สนใจฉันเลย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก... เพลงนี้ท่อนคอรัสค่อนข้างจะติดหูฟังไม่กี่รอบก็จำได้แล้ว แต่ด้วยความที่คนร้องจะแหกปากไปไหน พอเพลงจบสิ่งที่จำได้ก็เหลือแค่ la la la เท่านั้น I Miss You บัลลาดเย็นๆที่เพราะใช้ได้ ด้วยอารมณ์ของ Beyonce ทำให้คนที่กำลังเหงาๆอยู่อาจจะอินกับเพลงนี้ได้ง่ายๆ ต่อกันที่ Irreplaceable Part 2 หรือ Best Thing I Never Had ด้วยเนื้อหาที่เชือดเฉือน เชื่อว่าแฟนๆของ Beyonce คงได้เพลงใหม่เอาไว้เปิดปลอบใจตัวเองว่าได้ทำสิ่งที่ถูกแล้ว (ไล่คนไม่ดีออกไปจากชีวิต มันมีอะไรผิดล่ะ จริงป่ะ) ส่วนตัวผมชอบเพลงนี้นะ สะใจดี อีกอย่างเพลงนี้ฟังง่าย และเข้าถึงง่ายกว่าเพลงใครครองโลกอีกนะ Party ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชื่อเพลงรึเปล่า พอฟังแล้วได้อารมณ์เหมือนนั่งอยู่ในคลับ จากนั้นก็ลากคนที่เจอในคลับออกไปด้วยกัน (เอ๊ะ นี่มันตามเนื้อเพลงนะ ฮ่าๆ) กำลังเคลิ้มๆอยู่ดีๆ เจอท่อนแร็พของ Andre 3000 นี่ถึงขั้นตกสวรรค์เลยนะ อ่อ แอบนึกถึง Love In This Club Part 2 ที่ Beyonce เคยไปช่วย Usher อยู่นิดๆด้วย กระชากอารมณ์กันต่อกับ Rather Die Young บทเพลงของหญิงสาวที่บูชาความรัก ถ้าเธอตายฉันขอตายตามดีกว่าอยู่โดยไม่มีเธอ เพลงน่าจะบิลท์อารมณ์ได้มากกว่านี้ถ้าดนตรีไม่กระหึ่มซะอย่างกับจะขู่ผู้ชายว่า นี่แค่พูดเล่น อย่าทะลึ่งตายตอนนี้ล่ะ Start Over เมื่อความรักมาถึงทางตัน คงมีทางเลือกแค่สองทาง คือหยุดมันเอาไว้ หรือพยายามเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แล้วคุณล่ะจะเลือกทางไหน เอาจริงๆผมว่า Beyonce ร้องเพลงแนวนี้ได้อารมณ์นะ มันดูแบบบีบคั้นอารมณ์มาก เหมือนกำลังอ้อนวอนเจย์ ซี อย่าทิ้งบีไปนะ ล่องลอยไปกับ Love On Top เพลงน่ารักๆที่ใครฟังก็คงต้องยิ้ม ขยับตัวตาม และแน่นอนว่าฟังแล้วอารมณ์ดี (เพลงนี้จะได้อารมณ์มากขึ้นถ้าไปอยู่หลัง Party ดูเป็นเพลงภาคต่อกันมากๆ) Countdown ดนตรีแบล็กกราวนด์เหมือนเพลงสวนสนาม ฟังไปฟังมาอาจมีหน้า Mariah Carey กับ Nicki Minaj จากเพลง Up Out My Face ลอยมาเป็นระยะ ยังดีที่เพลงก่อนหน้านี้ไม่ใช่บัลลาดเอื่อยๆ ไม่งั้นพอถึงฮุคเพลงนี้คงมีคนตกใจหัวใจวายแน่ๆ อ่อ อีกอย่าง verse1 เพลงนี้ดูไม่ได้มากับท่อนอื่นๆของเพลงเลยแฮะ ขยับกันต่อกับเพลงน่ารักๆอย่าง End Of Time ของแบบนี้พูดกันตรงๆเลยดีกว่าจะมาอ้อมค้อม “มารักกับฉันสิ ฉันจะไม่ยอมปล่อยคุณไปไหนหรอก และฉันก็จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคุณตลอดไป” เป็นเพลงที่เหมาะเอาไว้ฟังเพื่อเรียกพลังแล้วรับรองคุณจะลืมความนอยด์ไปเลยทีเดียว I Was Here อีกหนึ่งการจรดปลายปากกาของ Diane Warren เพลงบัลลาดความหมายดีๆ แต่มาผิดที่ผิดเวลา (ถึงได้บอกว่าการเรียงแทร็คอัลบั้มนี้มันแปลกๆ) มันควรจะมาช่วงแรกๆพร้อมกับกองทัพบัลลาด มาตอนนี้ก็มาขัดอารมณ์เพลงเร็วๆหมด ปิดอัลบั้มกันด้วย  Run The World (Girls) ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้มที่ยังคงแสดงความเข้มแข็งของสตรีเพศ ยืมแซมเปิ้ลมาจาก Pon De Floor ของ Major Lazer ตัวเพลงดูโหวกเหวกโวยจนเรียกได้ว่าใครที่ฟังครั้งแรกอาจจะรีบเปลี่ยนเพลงทันที และแน่นอนว่าเพลงไม่ถูกหูแบบนี้ก็ทำอันดับได้น่าอนาถใน Billboard Chart จนแทบไม่มีใครอยากพูดถึงเพลงนี้เลย

สรุป ด้วยความพยายามที่จะดึงสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีออกมา แล้วนำมาต่อยอดจนทิ้งคำว่าตลาดกระแสหลักไป แต่โดยรวมแล้วถึงแม้ว่าตัวเพลงอาจจะฟังยาก และอาจจะไม่ถูกหูสำหรับแฟนๆขาจร แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณให้โอกาสอัลบั้มนี้ คุณก็จะหลงรักอัลบั้มนี้มากขึ้น ถ้าการฟังรวมเดียวแล้วมันชวนหลับลองฟังแยกแทร็คแล้วความไพเราะของเพลงต่างๆก็จะเด่นชัดมากยิ่งขึ้น


ฺBoyRobot


วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Review: Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2


Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2 (C+)


*หมายเหตุ รีวิวนี้เป็นรีวิวแรกที่ผมเขียนนะครับ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ ผมจะพยายามปรับปรุงในรีวิวครั้งต่อๆไปครับ


          เกริ่นนำ ย้อนไปเมื่อปี 1997 ชื่อของ Harry Potter ได้ถูกแนะนำให้ทั้งโลกได้รู้จัก ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผมเองที่ในตอนนั้นอยู่ช่วงประมาณ ป.6 หรือ ม.1 (ความทรงจำเริ่มเลือนราง) ต่อมาในปี 2001 ภาพยนตร์ภาคแรกในชื่อเดียวกับตัววรรณกรรมคือ Harry Potter and the Sorcerer's Stone ก็ได้ออกฉายทั่วโลก พร้อมทั้งโกยเงินจากได้เป็นกอบเป็นกำ (974 ล้านจากการฉายทั่วโลก) จากบทวรรณกรรมกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวที่โลดแล่นบนแผนฟิล์ม หลังจากการเดินทางอันยาวนาน รายได้กว่า 6 พันล้าน US Dollar จากภาพยนตร์ชุดนี้ เราก็ได้เดินทางมาถึงบทสรุปของเรื่องราวที่พวกเราได้เป็นประจักษ์พยานที่เกิดขึ้นเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว

          Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2 ดำเนินเรื่องต่อจาก Part 1 โดยเริ่มต้นที่ Lord Voldemort ได้ครอบครองไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ ในขณะที่ Harry, Ron และ Hermione ได้ออกตามหา Horcrux ที่เหลืออีก2 อัน เพื่อตัดสายใยต่างๆที่ทำให้ Lord Voldemort เป็นอมตะ เพื่อในการเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย Lord Voldemort จะได้เป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดาที่ตายได้ และในที่สุดการรบครั้งสุดท้ายของเหล่าผู้มีเวทมนตร์ รวมถึงสัตว์วิเศษต่างๆ ก็ได้ระเบิดขึ้นที่ Hogwarts การรบครั้งสุดท้ายที่จะนำทุกๆคนไปสู่บทสรุปการต่อสู้อันยาวนานระหว่างพ่อมดแม่มดฝ่ายดี และฝ่ายมืด ระหว่าง Harry Potter และ Lord Voldemort


*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง

          ภาพรวม หนังทำออกมาในแนวทึมๆเหมือนเรื่องราวในตัวหนังสือที่เริ่มมาตั้งแต่ภาค The Order of The Phoenix ผู้กำกับ (David Yates ผู้รับหน้าที่ผู้กำกับมาตั้งแต่ภาค The Order of The Phoenix) ยังคงคุมโทน ถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดี แม้ว่าการดำเนินเรื่องในช่วงแรกๆจะดูเอื่อยๆเนือยๆไปบ้าง เหมือนเครื่องยังไม่ติด ซึ่งในช่วงนี้เหมือนเป็นการอุ่นเครื่องให้คนดูปะติดปะต่อเรื่องราวจากภาคที่แล้ว แต่โดยส่วนตัวผมว่ามันสามารถทำให้น่าสนใจได้มากกว่านี้ แต่พอเริ่มฉาก Hogwarts ก็ดำเนินเรื่องได้คงเส้นคงวา และดูจะเพิ่มความสนุก ความน่าติดตามไปได้ตลอดตามสไตล์ของผู้กำกับในภาคนี้ หลายๆฉากยังไม่สามารถพาผมไปถึงจุดพีคได้ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่พักรบครึ่งแรกที่มีการจัดการกับศพคนตาย ผมว่าฉากนั้นมันสามารถทำให้คนดูอินได้มากกว่านี้ แต่ในหนังกลับทำมานิดเดียว ยังไม่ทันได้อินอะไรเลย Harry ก็วิ่งหนีไปซะแล้ว หรือจะเป็นฉากที่ทั้ง Harry, Ron และ Hermione ได้พบกับ Aberforth ผมชอบในหนังสือมากกว่านะที่ Harry พูดถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของ Dumbledore ผมว่าเพราะสิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่ทำให้ Aberforth เปลี่ยนความคิดและให้อภัยพี่ชายของเขา

          จุดเด่น คงปฏิเสธไม่ได้ว่านักแสดงทุกคนแสดงดีกันมากกก ที่ลืมไม่ได้เลยคือ McGonagall ฉากที่พุ่งออกมาจากกลุ่มคนเพื่อเผชิญหน้ากับ Snape ได้ใจผมไปเต็มๆเลยครับ Bellatrix Lestrange ตัวร้ายที่ผมชอบมาก ในภาคนี้ก้ยังคงรั่วได้ใจผมเหมือนเดิม (ตอนเล่นเป็น Hermione ในร่าง Bellatrix นี่น่ารักจริงๆนะครับ ควีนมัม เอ้ย Miss Bella) นักแสดงชายคงไม่มีใครปฏิเสธว่าฮีโร่ของเรา Severus Snape เล่นได้เยี่ยมยอดทั้งสีหน้า ท่าทาง ความนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นฉากที่โรงเก็บเรือที่บอกให้ Harry เอาน้ำตาไปในเพนซิป หรือจะเป็นฉากย้อนอดีตต่างๆ และคนสุดท้าย ตัวขโมยซีนของภาคนี้ Neville Longbottom ฉากที่พูดกับ Lord Voldemort เท่มาก ไม่น่าเชื่อว่าเด็กชายขี้ลืมไม่เอาไหนคนนั้น (ตามบท) จะกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรเท่ห์ๆได้ขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ องค์ประกอบฉาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากการรบครั้งสุดท้าย ทั้ง CG องค์ประกอบศิลป์ แสง สี เสียง ทำให้ผมนั่งขนลุก (แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอากาศหนาว) อยู่ในโรง ฉากที่ผู้วิเศษกำลังเสกเวทมนตร์คุ้มครองปราสาท หรือหุ่นอัศวินเดินแถว การบุกโจมตีของเหล่าผู้เสพความตาย และยิ่งการถ่ายภาพมุมสูงให้เห็นว่าทั้งปราสาทมีการต่อสู้ ไฟไหม้ ทำให้ผู้เชื่อจริงๆว่า ศึกครั้งนี้มันมีความสำคัญ และอันตรายใหญ่หลวง และที่ต้องขอชำจริงๆคือฉากความทรงจำของ Snape แม้จะเป็นลูกเล่นเดิมๆที่เคยเห็นไปแล้ว แต่แค่ฉากนั้นฉากเดียวผมเชื่อว่าคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน จะต้องรับรู้ได้ว่าความรักของ Snape ที่มีต่อ Lily มันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน และที่ลืมไม่ได้ ดนตรีประกอบ ถ้าจุดมุ่งหมายของดนตรีประกอบคือการทำให้คนดูอินไปกับเรื่องราวในช่วงนั้นๆของตัวหนัง ดนตรีประกอบฝีมือ Alexandre Desplat ถือว่าทำได้อย่างดีเยี่ยม ดนตรีที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่นของผู้คนที่กำลังเตรียมตัวรับมือเหล่าผู้เสพความตาย หรือในฉากอื่นๆ ที่ถือว่ามาได้เหมาะเจาะมากๆ (ชิงออสการ์ติดต่อกันปีที่สี่เลยมั้ยครับลุง)

          จุดด้อย ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่าเข้าใจและทำใจไว้แล้วก่อนเข้าโรงว่าจะให้ดัดแปลงจากหนังสือมาเป๊ะๆ 100% มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่บางฉากมันไม่ไหวจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากการต่อสู้ตัวต่อตัวระหว่าง Harry และ Lord Voldemort ผมชอบเวอร์ชั่นในหนังสือมากกว่านะ ผมว่ามันดูขลังมากกว่าให้มาต่อสู้แค่สองคนเหมือนในหนัง เพราะว่าในหนังสือมันจะมีคำพูดต่างๆของแฮร์รีไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงจุดด้อย เรื่องที่ Lord Voldemort มองข้ามไป และเรื่องที่จริงๆแล้ว Snape ให้ความภักดีต่อใคร โดยที่มีสักชีพยานคนอื่นๆรวมอยู่ด้วย ผมว่าถ้าทำออกมาในลักษณะเดียวกับในหนังมันเหมือนเป็นการให้เกียรติ Snape โดยการบอกให้ทุกๆคนรู้ว่าเขาเป็นคนดีแค่ไหน (หรือ Yates ยึดถือคำขอร้องที่ Snape ขอกับ Dumbledore ว่าไม่ให้เขาเปิดเผยส่วนที่ดีที่สุดของ Snape ฮา) นอกจากนี้ฉากจุดจบของ Lord Voldemort ในหนังจะเป็นการที่ร่างของเขาสลายไป แต่ผมกลับรู้สึกว่าถ้าเป็นการตายแบบธรรมดา คือล้มลงนอนตายแบบคนปกติมันจะเรียกพลัง และยิ่งใหญ่มากกว่าอยู่ดีๆก็ให้ร่างสลายไป หรือจะเป็นฉากในคิงคอร์สผมว่าถ้าใส่มาเผื่อให้หนังมีครบทุกบทตามหนังสือก็ไม่ต้องใส่มาเลยจะดีกว่า ในหนังสือ Dumbledore ได้ตอบคำถามต่างๆของ Harry ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม้กายสิทธิ์ การเชื่อมโยงวิญญาณ แต่ในหนังกลับทำออกมาเหมือนเป็นฉากที่ไม่มีความสำคัญอะไร ทำให้ Dumbledore ดูกลายเป็นตัวตลก แทนที่จะแสดงภาพของความน่าเชื่อถือ และฉากอวสานของไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ ทำไมต้องหักแล้วโยนไม้ทิ้ง ผมว่ามันคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะให้ Harry เดินเอาไม้ไปคืนที่หลุมศพของ Dumbledore หรือซักนิดกับการซ่อมไม้กายสิทธิ์ขนนกฟีนิกซ์ของตัวเอง ผมรับไม่ได้จริงๆกับการหักไม้กายสิทธิ์เหมือนไม้ธรรมดาที่ไม่มีค่า นอกจากนี้การใส่มุกที่ผมคิดว่ามากเกินไป โอเค คือเข้าใจนะครับว่าหนังมันเครียด การใส่มุกต่างๆเข้ามาทำให้มันโทนของหนังดูผ่อนคลายขึ้น แต่อะไรที่มันมากเกินไปก็ไม่ดีนะครับ ส่วนสุดท้ายที่จะขอตินะครับ อารมณ์ของหนัง หลายๆฉากที่ผมว่าถ้ามีการบิวท์ดีกว่านี้มันเรียกน้ำตาได้อย่างแน่นอน ตัวละครแต่ละครทุกๆตัวมันถึง หรือเกือบจะถึงแล้วล่ะครับ ถ้ามีการแช่ที่ฉากนั้นนานๆหน่อย ผมว่ามีคนน้ำตาแตกในโรงอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นฉากจัดการกับศพต่างๆของผู้เสียชีวิต มันเป็นฉากที่เศร้านะครับ แต่ Yates กับให้เวลากับฉากนั้นน้อยเกินไป

          ทสรุป แม้ว่าจะรู้สึกค่อนข้างผิดหวังกับหนังภาคนี้ (ส่วนตัวผมชอบ 7.1 มากกว่านะ) แต่โดยภาพรวมของหนัง ตั้งแต่ Harry Potter and the Deathly Hallows Part 1 ตั้งแต่เราออกเดินทางจากบ้าน Dursley จนมาสิ้นสุดการเดินทางที่ Hogwarts ผมว่า ซีรีย์ Harry Potter ก็ปิดฉากลงได้อย่างยิ่งใหญ่ และเต็มภาคภูมิไม่แพ้ The Lord of the Rings เลยทีเดียว (แค่ฉากการรบครั้งสุดท้ายที่ Hogwarts ก็น่าจะเพียงพอแล้ว) และพอ End Credit ขึ้น ผมอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกที่แบบ “เฮ้ย มันจบแล้วนะ” มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่อ่านหนังสือจบ รู้สึกใจหายและเสียดายแต่ผมเชื่อว่าในใจของแฟนๆซีรีย์นี้ ทุกๆคนคงจะไม่มีวันลืม Harry Potter และเหล่าผู้วิเศษ สัตว์วิเศษต่างๆ สิ่งต่างๆเหล่านั้นยังคงโลดแล่นอยู่ไม่ว่าจะอยู่ตามตัวอักษรในหนังสือ หรือในรูปแบบของ DVD Blu-ray (ส่วนผมเก็บ Boxset แน่นอนครับ) และผมเชื่อครับพวกเขากำลังรอให้เราไปร่วมผจญภัยกับพวกเขาอีกครั้งอย่างแน่นอน 



BoyRobot