วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

Review: Jennifer Lopez - LOVE?



Jennifer Lopez – LOVE? (B)

           ถ้าจะพูดถึงแวดวง Hollywood ก็คงมีไม่กี่คนนักที่ทำได้ดีทั้งด้านการแสดง และการร้องเพลง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คงเป็น Jennifer Lopez คนทั้งโลกได้รู้จักกับเธอครั้งแรกในฐานะนักร้องต้องย้อนกลับไปในปี 1999 กับซิงเกิลเปิดตัว If You Had My Love กว่าสิบปีที่ J.Lo ได้เดินทางมาบนเส้นทางสายดนตรีที่มีขวากหนามมากมาย ตั้งแต่ Studio Album ชุดแรก “On The 6” จนกระทั่งล่าสุดกับ Studio Album ลำดับที่ 7 ภายใต้สังกัดใหม่ Island Def Jam และวันนี้ J.Lo ก็กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มที่อาจพูดได้ว่าทำให้เราได้ใกล้ชิดกับตัวตนของเธอมากที่สุด... LOVE?

           จุดเด่น เนื้อหาอัลบั้มที่มีความรักเป็นธีมใหญ่ ทำให้เนื้อหาแต่ละเพลงเข้าถึงง่ายมาก และด้วยความที่เนื้อหาเข้าถึงง่ายทำให้หยิบมาฟังได้ไม่รู้จักเบื่อ (เชื่อเถอะวันนี้คุณเหงาคุณฟังเพลงนี้ แต่พอมีความรักคุณก็ไปฟังเพลงต่อไปได้ เห็นมั้ยฟังได้ไม่ว่าอารมณ์แบบไหน) นอกจากนี้ด้วยการที่ J.Lo เลือกที่จะเอา Pop, R’n’B มายืนพื้น และเหยาะกลิ่น Latin ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำได้ดีเสมอมาเข้าไปร่วมด้วย ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธว่า J.Lo เป็นมือวางอันดับต้นๆจริงๆที่ทำเพลงแนวนี้ได้ถึงมากๆ

           จุดด้อย มีใครจำได้มั้ยว่าอัลบั้มก่อนหน้า LOVE? คืออะไร... อย่าตอบว่า This Is Me… Then นะครับ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากที่ล้มคว่ำไปกับ Rebirth และ Brave หลายๆคนคงลืมเธอไปแล้ว จะเหลือซักกี่คนที่ยังจำคุณนาย J.Lo เดินนวยนาดตากหิมะใน MV All I Have หรือ ความรักบันลือโลก Bennifer แน่นอนคนเขาลืมกันไปหมดแล้ว แล้วพอกลับมาคราวนี้ J.Lo มีอะไรมาขาย... Judge ใน American Idols? หรือจะเป็นภาพลักษณ์คุณแม่ลูกแฝด? ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงอยากได้ J.Lo ที่มีมาดคุณนาย (เอาง่ายๆเหมือนแบบชุดทองใน MV On The Floor นั่นแหละ) กลับมาอีกครั้ง เพราะถึงแม้ผู้คนจะหมั่นไส้กับลุคนั้น แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่ามันคือลุคที่เหมาะกับ J.Lo จริงๆ

Track by track
             On The Floor (Ft. Pitbull) จากที่ลองปล่อย Louboutins แล้วผลตอบรับไม่เวิร์กแถมยังส่งผลให้ J.Lo ต้องออกจาก Sony และย้ายค่ายมาที่ Def Jam ขนเพลงมาทำกับค่ายใหม่และหวยก็มาออกที่เพลงนี้ ซิงเกิลเปิดตัวที่สามารถขึ้นไปได้ถึง #3 Billboard Hot 100 หลังจากที่เธอไม่ได้มีเพลงฮิตมาเกือบ 10 ปี... All I Have(#1-2003) ตัวเพลงยืมแซมเปิ้ลเพลง Lambada ทำให้ตัวเพลงติดหูมากกกก On The Floor ก็คงเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ผมได้บอกไปในตอนต้นแล้วว่า เพลงกลิ่นอายละตินกับ J.Lo เป็นของคู่กันจริงๆ ต่อกันกับ Good Hit ส่วนตัวไม่ชอบเพลงนี้เอาซะเลย และรู้สึกดีที่ J.Lo เลือกที่จะไม่ตัดเพลงนี้ (แม้ว่าส่วนตัวตัวจะเสียดายเอ็มวีที่ถ่ายไว้แล้วก็ตาม) ไม่เข้าใจว่าทำไมJ.Loต้องร้องแบบนี้ด้วย เสียงJ.Loในเพลงนี้ดูบีบๆจนไม่ใช่J.Loไปเลย หรืออยากจะเปลี่ยนแนวไปร้องเพลงแบบ Britney หึหึ ต่อกันด้วยซิงเกิลที่สอง I’m Into You (Ft. Lil’ Wayne) ยังคงเป็น Pop RnB ที่มีกลิ่นความเป็นละติน เนื้อเพลงเป็นการพรรณนาถึงคนรัก เสียงJ.Loเหมาะกับการร้องเพลงแนวนี้จริงๆ ฟังแล้วรู้สึกล่องลอย ชวนให้ขยับขาเล็กๆ เหมือนกำลังนั่งมองตากับคนรักพร้อมจิบไวน์ไปพร้อมๆกัน เอ๊ะ หรือจะเต้นรำกลางแสงจันทร์ดี (What Is) LOVE? Title track ของอัลบั้ม ตัวเพลงเคยใช้เป็นเพลงประกอบหนัง The Back Up Plan ก่อนที่จะเอามาทำใหม่(ตรงไหน?) ตัวเพลงเป็น Pop ธรรมดาที่ธรรมดาจริงๆ แต่ความธรรมดานี้เองที่ฟังไม่กี่รอบก็เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวแล้ว ส่วนเนื้อเพลงนี่... ผมเชื่อว่าคนโสดที่ยังรอคอยคนที่ใช่สามารถอินกับเพลงนี้ได้อย่างแน่นอนครับ ซึ่งแน่นอนว่าเพลงนี้ก็สามารถทำหน้าที่ของ Title Track ได้เป็นอย่างดี หลังจากที่รอคอยคนที่ใช่กับเพลงที่แล้วมาแล้ว เพลงต่อไป Run The World กล่าวถึงความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างคนสองคน อีกหนึ่งเพลงน่ารักๆที่เข้ากับภาพรวมของอัลบั้มได้เป็นอย่างดี กลับมาขยับแข้งขากันต่อกับ Papi เจอLatin pop อีกแล้ว เพลงนี้ใครได้ยินแล้วไม่ขยับตัวให้มาตบหัวผมได้เลย เพลงเหมือนเป็นภาคต่อของ On The Floor สามารถเปิดในปาร์ตี้ได้โดยไม่ต้องมิกซ์อะไรทั้งนั้น ด้วยตัวเพลงที่มันชวนแดนซ์อยู่แล้ว... เพลงเค้าก็บอกอยู่ว่าให้ Move your body... Dance for your papi แล้วเราจะรออะไรกันอยู่ล่ะครับ พักหายใจกันกับ Until It Beats No More เริ่มเพลงด้วยเสียงเตือนหัวใจหยุดเต้น ตามด้วยเสียงหัวใจที่เต้นอีกครั้ง... บัลลาดเนื้อหาซึ้งๆพูดถึงคนที่เคยมีแผลจากความรัก จนวันนึงได้มาพบกับคนที่ใช่ และได้ยอมเปิดรับคนคนนั้นเข้ามาในชีวิต... ยกหัวใจให้ไปจนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย ต่อกันด้วยเพลงที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพลงที่พาเราไปรู้จักกับชีวิตรักของJ.Loจริงๆกับ One Love บทเพลงที่พูดถึงความรักที่ไม่สมหวังของเธอ (ถึงตอนนี้ก็เป็นสี่ครั้งแล้ว) แต่เธอก็ยังคงเฝ้ารอคนที่เป็น One Love ของเธอจริงๆ ส่วนตัวแล้วชอบเพลงนี้กับเพลงก่อนหน้ามาก เศร้ากันมามากพอละ ไปแดนซ์กับ Invading My Mind เพลงที่ได้ Lady Gaga มาร่วมโปรดิวซ์ ตัวเพลงมีกลิ่นของ Lady Gaga ในอัลบั้มแรกๆ แต่พอเสียงJ.Lo มาเท่านั้นแหละ มันคือเพลงของเธอจริงๆ แต่ก็นะ เพลงแบบนี้ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือน่าจดจำ ได้แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ต่อกันกับ Villian เสียงกระซิบกระซาบทำให้แอบคิดถึง Kylie ขึ้นมาตงิดๆ ส่วนตัวคิดว่าเพลงมันเนือยๆเอื่อยๆเกินจนเพลงมันดูมีแค่ระนาบเดียวไปหมด ไม่มีอะไรที่เด่นพอให้จดจำเลย Starting Over เพลงจังหวะชิลล์ๆ ชวนโยกตัวนิดๆ แต่เนื้อหาเพลงกลับไม่ชิลล์ตามจังหวะ ตัวเพลงว่าด้วยความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ถึงแม้ว่าอีกคนหนึ่งจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ทุกวันนี้ฉันก็ยังคงรักเธออยู่ และก็ไม่อยากให้เราต้องเลิกรา Hypnotico เพลงปิดอัลบั้มของ Standard Edition มาอีกแล้วเพลงแดนซ์ ส่วนตัวคิดว่าเพลงแดนซ์กับ J.Lo เป้นอะไรที่แบกกันไม่ออกจริงๆ ไม่ว่าเพลงจะธรรมดา ไม่มีลูกเล่นอะไร แต่พอมาอยู่ในมือ J.Lo เพลงธรรมดาๆเพลงนั้นก็กลายเป็นเพลงที่มีอะไรๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ (ลองให้คนอื่นร้องเพลงนี้สิ ได้เท่า J.Lo ป่ะล่ะ) Everybody’s Girl เพลงแรกสำหรับ Deluxe Edition introเพลงทำให้รู้สึกเหมือนเป็นดาราที่กำลังอยู่ท่ามกลางแสงแฟลช นักข่าว ซึ่งก็เหมาะกับเนื้อหาของเพลงดี ที่พูดถึงคนคนนึงที่ต้องอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกๆคนตลอดเวลา แล้วคุณจะยังรักเธออยู่มั้ย Charge Me Up ไม่ชอบชื่อเพลงนี้เลยให้ตายเหอะ เลยพาลไม่ชอบเพลงไปด้วย เพลงแดนซ์ที่เหมือนทำมาไม่สุด เหมือนยังกั๊กๆอะไรไว้อยู่ หรืออาจจะให้คนฟังเตรียมตัว Warm down แล้วไปนั่งชิลล์กับ Take Care คุ้นๆมั้ยเพลงนี้ แซมเปิ้ลจาก Rude Boy ตัวเพลงน่ารักๆ ร้องรัวๆ แถมร้องซ้ำๆอยู่นั่นล่ะ พอฟังไปฟังมาก็มาวนเวียนอยู่ในหัว แถมร้องตามได้อีกตังหาก แหม่ แยบยลจริงๆ ปิดท้ายกันด้วย Ven A Bailar (On The Floor Spanish Ver.) ขออนุญาตไม่พูดถึงนะครับ เพราะคงพูดเหมือนกับที่รีวิว Track แรกไป (ฮาาา)
         
           สรุป
LOVE? อาจไม่ใช่อัลบั้มที่ดีที่สุดจากผู้หญิงที่ชื่อ Jennifer Lopez แต่ก็เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่คอเพลงป๊อป... ไม่สิคอเพลงสากลควรจะมีไว้ในครอบครอง ไม่ใช่เพราะความเป็น Masterpiece แต่เป็นเพราะความเข้าถึงง่ายของเนื้อหาที่โดยรวมก็พูดถึงความรัก เพราะบางทีเวลาที่เราฟังเพลงที่มันตรงกับความรู้สึกของเราจริงๆ มันก็อาจทำให้เราเสียน้ำตาได้นะครับ...

           สุดท้ายนี้ แม้ว่ารีวิวนี้อาจจะไม่ใช่รีวิวที่ดีอะไรมากมายนัก แต่ผมขอมอบรีวิวอัลบั้ม
LOVE? ให้กับทุกๆหัวใจที่มีรักนะครับ ไม่ว่ารักของคุณจะสมหวัง หรือไม่ก็ตาม เพราะอย่างน้อยคุณก็ได้รู้จักกับ "ความรัก"... To you guys... LOVE?R




 BoyRobot


Review: อุโมงค์ผาเมือง




อุโมงค์ผาเมือง (C+)

เกริ่นนำ ในวาระการเฉลิมฉลอง 100 ปี ชาตกาล หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และครบรอบ 40 ปี สหมงคลฟิล์ม ซึ่งทั้งสองวาระได้เวียนมาครบรอบในปีนี้ ประกอบกับผลตอบรับในแง่บวกทั้งเวทีรางวัล และรายได้ หม่อมน้อย หรือหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุลได้กลับมาอีกครั้งกับผลงานลำดับที่ 10... อุโมงค์ผาเมือง

โดย อุโมงค์ผาเมือง เป็นการดัดแปลงจากบทละครของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เรื่อง “ราโชมอน” ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ Ryunosuke Akutagawa อีกต่อหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวเดียวกับที่ Akira Kurosawa ได้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง "ราโชมอน" เมื่อปี พ.ศ. 2493 โดยอุโมงค์ผาเมือง เล่าถึงคดีฆาตกรรมขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) โดยมีผู้ต้องสงสัยเป็นโจรป่าสิงห์คำ (ดอม เหตระกูล) แต่ทั้งขุนโจร แม่หญิงคำแก้ว (เฌอมาลย์ บุญศักดิ์) และขุนศึก(ผ่านคนทรง) ก็ได้ให้การว่าตนเองเป็นผู้ปลิดชีพขุนศึกทั้งสิ้น ซึ่งจากคำให้การนี้เองที่ทำให้ศรัทธาของพระหนุ่ม (มาริโอ้ เมาเร่อ) เกิดความสั่นคลอน จนพระหนุ่มอยากจะลาสิกขา และระหว่างทางที่พระหนุ่มออกธุดงค์ก่อนลาสิกขา พระหนุ่มได้พบกับคนตัดฟืน (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) และสัปเหร่อ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ในอุโมงค์ผาเมือง... ที่ซึ่งความจริงทุกอย่างจะถูกเปิดเผย

*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง

ภาพรวม ตัวหนังเปิดตัวมาด้วยการเล่าพื้นเพของตัวพระหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะเป็นการเล่าที่ให้น้ำหนัก และเน้นให้พระหนุ่มเป็นตัวละครเอกของเรื่องนี้ การเล่าอดีตของพระหนุ่มทำให้เราเห็นว่าทำไมพระหนุ่มจึงตัดสินใจออกบวช (หม่อมน้อยพาผู้ชมไปดูการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และรวมถึงกิเลสในรูปแบบต่างๆ) และตัดมาที่ปัจจุบันในยามที่ศรัทธาของพระหนุ่มเกิดความสั่นคลอนอันเป็นผลมาจากคดีฆาตกรรมที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ซึ่งถือว่าในส่วนนี้หม่อมน้อยได้คะแนนเต็ม ต่อไปเป็นเรื่องเสื้อผ้า โปรดักชั่น ฉากต่างๆ รวมถึงการถ่ายภาพที่หม่อมน้อยยังคงทำได้ดีมาก แต่ดูจะด้อยกว่า ชั่วฟ้าดินสลาย (ส่วนตัวผมชอบการถ่ายภาพแบบมุมกว้างๆนะ สวยดี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ Costume ผมมีความรู้สึกว่าชุดสวยมาก แต่มันดูขัดตาซึ่งก็ไม่รู้ว่าเหมือนน้อยตั้งใจเกินไปหรือเปล่าทำให้งานออกมาดูแล้วขัดตาแปลกๆ

จุดเด่น สิ่งแรกเลยคือ การแสดงของนักแสดงทุกท่าน เหมือนทุกคนจะปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ในทุกๆฉากๆ โดยเฉพาะฉากปะทะคารมระหว่างแม่หญิง ขุนศึก และโจรป่าในฉากสุดท้ายผมว่าทั้งสามคนแสดงถึง และผมรู้สึกได้ว่าแต่ละคนรู้สึกยังไงกับการที่ต้องโกหกในศาล (เพราะความจริงที่มันน่าอาย และไม่ว่าใครๆ ก็อยากดูดีกันทั้งนั้น) อีกสามท่านที่ต้องพูดถึงคือ คนตัดฟืน พระหนุ่ม ส่วนตัวบอกได้เลยว่าไม่เคยคิดว่าสองท่านนี้จะแสดงได้นิ่งมาก และดูน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวมาริโอ้เอง ที่แสดงได้นิ่งมาก (เอ๊ะ หรือนี่คือธรรมชาติอยู่แล้ว ฮา) ส่วนตัวแล้วผมประทับใจตัวสัปเหร่อมากที่สุด เพราะนอกจากที่จะเป็นตัวแทนของคนปกติที่มีทั้งสีขาวและสีดำอยู่ในตัวแล้ว สัปเหร่อยังเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ถูกตัดสินเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก แต่ก็อย่างที่บอกในเมื่อทุกคนต่างก็ปล่อยพลังกันอย่างเต็มที่ทำให้หนังเรื่องหนึ่งไม่สามารถเอาอยู่ เหมือนกับเวลาที่มีคนใส่เสื้อสีแดง กางเกงสีเขียว รองเท้าสีเหลือง ต่อให้ของสามชิ้นนี้สวยงามแค่ไหน แต่พอมาอยู่รวมกันก็ดูล้นๆเกินๆอยู่ดี (แถม ฉากเปิดเผยความจริง ตัวละครทั้งสาม ป่วงได้ใจผมมากกก) แถมอีกนิดคุณพลอยทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่ผมว่าเธอเหมาะกับบทผู้หญิงแบบยุพดีมากกว่าบทผู้หญิงที่ถูกกระทำ อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องขอชมคือ ซาวนด์ ไม่ว่าจะเป็นScoreต่างๆ โดยเฉพาะบทสรรเสริญพระพุทธคุณในตอนต้นเรื่อง ผมว่าแค่บทนี้ก็คลุมธีมของหนังได้ทั้งเรื่องแล้ว (จะว่าไปเพลงของชั่วฟ้าดินสลายก็เพราะมากกกเหมือนกันนะ) จุดสุดท้ายที่ผมชอบก็คือการที่หนังไม่ได้บอกเรามาโต้งๆว่าอยากให้เราได้อะไรจากหนัง แต่เป็นการสอนเราผ่านเหตุผลในการโกหกของตัวละครแต่ละตัว (แม้ว่าสัปเหร่อจะแอบใบ้ๆให้ก็ตาม) ผมว่ามันดีกว่าให้พระหนุ่มมานั่งสรุปให้ฟังตอนท้ายนะ

จุดด้อย นักแสดงที่เยอะเกินไปทำให้ดูเหมือนยังใช้งานนักแสดงไม่คุ้ม ไม่ว่าจะเป็นพระที่รับบทโดยคุณชาย ชาตโยดม หรือคุณรัดเกล้าที่รับบทเป็นคนทรง รวมถึงคุณธัญญา คุณดารณีนุช ที่ผมคิดว่ายังสามารถใช้งาน หรือแสดงฝีมือได้มากกว่านี้ การดำเนินเรื่อง อาจจะด้วยเวลาที่จำกัดทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าการดำเนินเรื่องของหนังดูจะรวบรัดเกินไปซักหน่อยมั้ย โดยเฉพาะฉากที่ความจริงถูกเปิดเผยซึ่งถือเป็นฉากไคล์แมกซ์ของเรื่องผมมีความรู้สึกว่าฉากนั้นถ้ามีการย้อนความถึงเหตุผลของตัวละครแต่ละตัวมากกว่านี้ ฉากนั้นจะเป็นฉากที่น่าจดจำมากกว่าฉากตลกโปกฮาแบบที่ปรากฏอยู่ในหนัง (หรือหม่อมน้อยอาจจะใส่ฉากนั้นมาใน Director’s Cut กันนะ) นอกจากนี้ถ้ามีการพูดถึงตัวละครสัปเหร่อ และคนตัดฟืนมากกว่านี้ว่าทำไมสัปเหร่อถึงมีมุมมองต่อชีวิตแบบนั้น ส่วนตัวคนตัดฟืนผมว่าตัวละครนี้ไม่มีเหตุผลรองรับว่าทำไมเขาถึงต้องโกหก ถ้าจะบอกว่าเพราะเอาดาบไปเลยไม่กล้าเล่าความจริง ผมว่ามันก็ดูแปลกๆไปมั้ยอ่ะ สุดท้ายแอบติดใจบทอยู่นิดนึง ผมว่าตัวบทดูเหมือนจะยัดเยียดคำพูด คำสอนต่างๆจนดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดฟังไม่รู้เรื่องเพียงแค่มันทำให้ตัวละครแต่ละตัวดูไม่เป็นคนจริงๆเท่านั้นเอง

สรุป ถ้าใครต้องการความละเมียดละมัยแบบ ชั่วฟ้าดินสลาย ก็คงต้องผิดหวัง แต่ อุโมงค์ผาเมืองก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งงานภาพยนตร์ที่มีความประณีตที่อาจจะมีรสชาติที่จัดจ้านกว่า ชั่วฟ้าดินสลาย แต่แน่นอนครับอุโมงค์ผาเมืองก็ยังคงเป็นหนังที่ให้อะไรๆกับคนดูได้เช่นเดียวกัน (และแน่นอนว่าเราคงได้พบกับหนังเรื่องนี้อีกครั้งในเวทีรางวัลต่างๆ อย่างน้อยก็เป็นในสาขาด้านเทคนิคต่าง) สุดท้ายนี้เชื่อผมเถอะครับ นานๆคุณจะเจอหนังไทยที่ควรค่าให้เสียเงินตีตั๋วเข้าไปดูในโรง ช่วยกันอุดหนุนหนังไทยดีๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้คนทำหนังนะครับ



BoyRobot