วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Review: Final Destination 5



Final Destination 5 (B)

เกริ่นนำ ย้อนไปเมื่อปี 2000 ภาพยนตร์เรื่องแรกของซีรีย์ Final Destination ได้ออกสู่สายตาคนทั่วโลก หนังที่ว่าด้วย”การโกงความตาย” ไม่สิต้องพูดว่า “ความตายที่ไม่ยอมโดนโกง” จะถูกกว่า ตัวหนังมาพร้อมกับเรื่องราวการที่คนกลุ่มหนึ่งสามารถเอาชนะความตายมาได้ แต่หลังจากนั้นความตายก็ตามมาเก็บกวาดอะไรๆที่พลาดไป อาจจะดูเป็นPlotเรื่องที่“ไม่มีอะไรเลย” แต่ในความ“ไม่มีอะไรเลย”ที่มาพร้อมกับวิธีการที่ความตายตามมาเก็บเหยื่อที่มันสมควรจะได้(ซึ่งดูจะรุนแรง และน่าหวาดเสียวขึ้นทุกภาค!!!) ก็ทำให้ซีรีย์นี้ยืนยาวมาได้ถึง 5 ภาค กับภาคล่าสุด Final Destination 5

Final 5 พูดถึงกลุ่มพนักงานบริษัทกลุ่มหนึ่งที่เอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์สะพานแขวนถล่มมาได้อย่างหวุดหวิด จากการเห็นภาพนิมิต(หรืออะไรก็ตาม)ที่ Sam มองเห็น หลังจากนั้นผู้รอดชีวิตก็ค่อยๆถูกความตายไล่ล่า และแน่นอนว่าการแข่งขันระหว่างการเอาชีวิตรอดของกลุ่มผู้รอดชีวิต กับความต้องการปิดรอยรั่วของความตายก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

*Spoiler Alert บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง
               
ภาพรวม ตัวหนังประกาศโต้งๆเลยว่าเป็น 3D แต่เท่าที่ดูแล้วคิดว่า ดูธรรมดาอรรถรสของหนังก็ไม่น่าจะหายไป เพราะดูเหมือนจะมีแค่ Credit ตอนเริ่มเรื่อง และฉากเปิดตัว (ฉากสะพานถล่ม) เท่านั้นที่ดูจะทำมาเพื่อขาย 3D แต่พอฉากอื่นๆ ก็พอกล้อมแกล้ม และแทบจะไม่รู้สึกถึงความเป็น 3D เลย โทนของหนังสามารถกดดันคนดูไปได้ตลอดเรื่อง ทั้งจากการใช้เสียง หรือการที่กล้องถ่ายภาพสิ่งต่างๆที่อาจจะเป็นสาเหตุของการตายได้ การใช้ CG ในภาพนี้ก็ดูเนียน และสบายตากว่าภาคที่แล้วมาก ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าดูในโรงแล้วคุ้มกว่าดูอยู่ที่บ้านแน่นอน นอกจากนี้ความดราม่าที่ใส่เข้ามาก็ดูเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และดูจะเป็นการกระทำที่ฉลาด โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่า เพราะดราม่าอันนี้แหละที่ทำให้ผมอิน แล้วเอาใจช่วยตัว Sam และ Molly ให้รอดชีวิตมากขึ้น แต่ดูเหมือนหนังจะหมดมุกการคิดวิธีการตายหรืออย่างไร คนหลังๆเริ่มจะตายแบบ... เรียกว่าธรรมดาเกินไปละกัน

จุดเด่น ตัวหนังยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ทั้งในแง่ของการเน้นจุดขายของหนัง คือ วิธีการตายที่คงยากจะเจอในชีวิตจริง และภาพการตายอันน่าสยดสยอง ทั้งในภาพนิมิต และการตายจริงๆ ผมประทับใจนะคนคิดนี่คิดได้เก่งจริงๆ แต่ที่สยองสุดคงเป็นการตายของ Candice ที่นอกจากจะตายด้วยสภาพที่สุดๆแล้ว การBuildอารมณ์ของหนังยังทำให้ผมลุ้นแล้วลุ้นอีก ลุ้นว่าเมื่อไหร่จะเป็นของจริงซักที นอกจากนี้การใช้เสียง ภาพในการbuildอารมณ์คนดูให้รู้สึก “เดี๋ยวมันจะโดนกาน้ำร้อนระเบิดใส่หน้ารึเปล่า” หรือ “ฮึ่ย อย่าเอามือแหย่เข้าไปในเครื่องดิ” ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบ ผมว่ามันทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังและแน่นอนว่ารู้สึกกดดัน รวมถึงการคิดวิธีการโกงความตายที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรแนะ อีกสิ่งหนึ่งที่หนังทำได้ดีคือการ “เอาค้อนมาตีหัวคนดู” ไม่ว่าจะเป็นฉากการตายของ Sam และ Molly ที่ผมว่าน่าสงสารมาก (และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตาย) และดูเหมือนเป็นการ Tribute ให้กับหนัง Final ภาคแรก ซึ่งผมแน่ใจมากว่าเป็นการ Tribute เพราะสิ่งที่มาก่อน End Credit ที่ผมแนะนำเลยนะครับ ว่าไม่อยากให้ทุกคนพลาด มันจัดเต็มจริงๆ สิ่งสุดท้ายที่คงไม่พูดถึงไม่ได้วิธีการเอาคืนของความตาย และการทำยังไงถึงจะรอด ที่ครั้งนี้มาในมุกใหม่ และเป็นต้นเหตุของอีกดราม่าหนึ่งที่มากับตัวของ Peter

จุดด้อย หนังดูจะเน้นฉากการตายจนลืมความสมเหตุสมผลไป ผมไม่ชอบที่ Molly และ Sam ตาย เนื่องจากทั้งสองคนไม่มีเหตุที่สมควรที่จะต้องตายเลย หรือเป็นเพราะทั้งสองคนไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา และไม่ยอมลงจากเครื่องบินทั้งๆที่มีคนโวยวายแล้ว ซึ่งถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้จริง ผมก็ต้องถือว่าความตายทำหน้าที่ของมันได้สมบูรณ์และไม่ยอมถูกใครโกงได้ นอกจากนี้ในส่วนของตัวละครที่ดูยังไม่ค่อยจะเล่นได้สมบทบาทกันมากนัก โดยเฉพาะ Peter ที่ผมไม่อินนะ แฟนตายทั้งที่ แต่ Peter กับทำหน้าตาเหมือนปวดท้อง (ได้ข่าวว่าเค้าทำหน้าเสียใจ) และการเฉลี่ยบทของแต่ละคนที่ยังคงดูประดักประเดิด ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการที่เพิ่มเรื่องราวดราม่าของตัวละครเข้าไป ทำให้คนที่ไม่มีเรื่องราวนั้นๆดูเหมือนจะมีบทที่น้อยกว่านักแสดงคนอื่นๆ รวมถึง เจ้าหน้าที่ Block ที่ผมคิดว่าหนังน่าจะใช้ประโยชน์จากตัวละครตัวนี้ได้มากกว่านี้

          สรุป Final Destination 5 อาจไม่ใช่หนังที่มีบทบาทในเวทีรางวัล หรือเป็นที่น่าจดจำในระดับที่โดดเด่นออกมาจากตัวซีรีย์จนเป็นที่พูดถึง แต่ผมเชื่อนะครับว่า Final Destination 5 ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี คือการให้ความบันเทิง ผมคงไม่มานั่งบอกว่าหนังให้ข้อคิดอะไรกับคนดู แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนได้ออกมาจากโรงในการดูหนังเรื่องนี้คงเป็นความรู้สึก”หวาดระแวง” และ “เกรงกลัว”ความตายกันมากขึ้น และถ้าคุณรู้สึกแบบนั้นหลังจากที่ออกมาจากโรง แน่นอนครับ Final 5 ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์แล้ว   


BoyRobot